นางเอื้อมพร ปัญญาใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PAP เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 ให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.27 บาท สำหรับ 660,000,000 หุ้น รวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 178,200,000 บาท โดยบริษัทฯ ได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล ในวันที่ 6 มีนาคม 2563 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
PAP จ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 ที่ 0.27 บาทต่อหุ้น คิดเป็นร้อยละ 51.70 ของผลกำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งสูงกว่านโยบายที่ประกาศจะจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองตามกฎหมายให้แก่ผู้ถือหุ้น และการจ่ายปันผลครั้งนี้สูงกว่า ปี 2561 ซึ่งจ่ายปันผลหุ้นละ 0.05 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.67 ของผลกำไรจากการดำเนินงาน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ PAP กล่าวด้วยว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2563 นี้ แม้ว่าในไตรมาส 1/2563 จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างต้องปิดทำการในบางพื้นที่ ประกอบกับการขนส่งสินค้าทำได้ยากลำบากเพราะอยู่ภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่โครงการก่อสร้างส่วนใหญ่ยังดำเนินต่อไปได้ แม้จะได้รับผลกระทบทางด้านการคมนาคมขนส่ง และการขาดแคลนแรงงานบ้าง ทั้งนี้บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การให้บริการเพื่อให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ และสามารถช่วยสนับสนุนลูกค้าในกลุ่มผู้รับเหมาและกลุ่มงานโครงการ
สำหรับกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจในปี 2563 บริษัทยังคงเน้นเรื่องพัฒนาคุณภาพของสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของตลาด โดยเน้นการให้บริการเสริมด้านการแปรรูปเหล็ก (Steel Service) เช่น การตัด ดัดโค้ง ชุบ เคลือบสี เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ท่อเหล็กที่บริษัทเป็นผู้นำด้านการผลิตอยู่แล้ว ทั้งนี้บริการเสริมเหล่านี้จะช่วยลดภาระของผู้รับเหมา ทั้งในด้านต้นทุน และสถานที่ ตลอดจนประหยัดเวลาในการติดตั้งที่หน้างาน
"บริษัทเน้นให้ความสำคัญด้านคุณภาพสินค้าและบริการ การส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐาน และให้คำปรึกษากับลูกค้าทุกกลุ่ม นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าขององค์กร เพื่อให้บุคลากรมีทักษะใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง และความไม่แน่นอน รวมทั้งมีกิจกรรมทางด้านการตลาดกับกลุ่มคู่ค้าและลูกค้าอย่างต่อเนื่อง"
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมเหล็กในปี 2563 หากอยู่ในช่วงสถานการณ์ปกติ ปริมาณการบริโภคเหล็กในประเทศไทยจะอยู่ที่ 18 ล้านตันโดยประมาณ แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ประกอบกับภาพรวมของระบบเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มหดตัว ส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ โครงการก่อสร้างต่างๆ ที่ชะลอตัวลง จึงคาดว่าในปี 2563 ปริมาณการใช้เหล็กในประเทศมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย ในขณะที่ราคาเหล็กโลกมีแนวโน้มลดลงเช่นกัน
บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน) (“PAP”) เป็นผู้นำด้านการผลิตท่อเหล็กคุณภาพ ทำการผลิตและจำหน่ายท่อเหล็กใช้ระบบผลิตแบบการเชื่อมเหล็กแผ่นโดยใช้ความต้านทานไฟฟ้า (Electric Resistance Welded: ERW) ปัจจุบันบริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายท่อเหล็กครอบคลุมมากกว่า 5,000 รายการ โดยจำแนกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ท่อเหล็กดำ และท่อเหล็กชุบสังกะสี รวมทั้งสินค้าประเภทเหล็กแผ่น (Cut sheet) โดยมุ่งตอบสนองความต้องการการใช้งานของลูกค้า ทั้งในงานโครงสร้างประเภทต่างๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม โครงสร้างท่าอากาศยาน โครงสร้างคลังสินค้า โครงสร้างอาคารสูง เป็นต้น และในรูปแบบงานระบบ เช่น งานระบบป้องกันอัคคีภัย ระบบชลประทาน ระบบสุขาภิบาล เป็นต้น
ปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานมากมาย ได้แก่ ISO 14001 Environmental Management System Use มาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมจากสถาบันรับรองมาตรฐาน TUV NORD (Thailand) Ltd รวมทั้งได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก. 17025 (ISO/IEC 17025) และมาตรฐาน ISO 9000 ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า PAP ดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ ดังเช่นสโลแกนของบริษัทที่ว่า “หัวใจการบริหารของเราคือ ความซื่อสัตย์ โปร่งใส และยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล”