นายแฟรงค์ ไฮเยอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ กล่าวเพิ่มเติมว่า “คลังสินค้าใหม่ในไทย จะชี้ให้เห็นถึงมาตรฐานทางธุรกิจที่มั่นคงกว่าเดิม โดยการที่เฮเฟเล่ ไทยแลนด์ มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากยอดขายกว่า 4,000 ล้านบาท/ปี เป็นอันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 3 ของโลก ทำให้บริษัทเปลี่ยนบทบาทของการกระจายสินค้าในประเทศ จากเดิมเช่าคลังสินค้า 2 แห่ง มาเป็นฮับของคลังสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน
โปรเจคสร้างคลังสินค้าของ เฮเฟเล่ ก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้า บางนา-ตราด เพื่อเพิ่มพื้นที่จาก 10,000 ตรม. เป็น 24,000 ตารางเมตร พร้อมเปิดใช้งานในปี 2563 โดยภายในคลังสินค้า ได้เปลี่ยนระบบการบริหารจัดการทรัพยากร ERP จากระบบเดิม Orion เป็น SAP เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดีขึ้น ผ่านรูปแบบครอบคลุมทั้งทางเทคโนโลยี กลยุทธ์ และข้อกำหนดทางการดำเนินงานของระบบ ERP ในรูปแบบไอทีทำหน้าที่เป็นแบ็กโบนของโครงสร้างพื้นฐานและการซัพพอร์ต สามารถอำนวยความสะดวก และติดตามดูแลทรัพยากรที่แตกต่างกันทั่วทั้งองค์กรในระดับหลากหลาย
การออกแบบมีการคำนึงถีงการประหยัดพลังงาน ใน DC ส่วนขยายที่มีการใช้ หลอดไฟ LED และ หลังคามีแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อให้พลังงานไฟฟ้า ถึง 300 กิโลวัตต์ สามารถให้กำลังไฟฟ้าถึง 420 เมกาวัตต์ต่อชั่วโมงในแต่ละปี ประหยัดพลังงานไฟฟ้า คิดเป็นมูลค่ากว่า 2 ล้านบาทต่อปี ลดการปล่อยก๊าซ CO2 ลงได้ 800,000 kg/ปี ซึ่ง เฮเฟเล่ คำนึงถึงการช่วยลดภาวะโลกร้อน และช่วยลดมลพิษที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตโดยใช้น้ำมัน หรือถ่านหิน
ปัจจุบัน เฮเฟเล่ ไทยแลนด์ ดำเนินกิจการในประเทศไทยกว่า 26 ปีและ 96 ปีในโลก เฮเฟเล่เป็นผู้นำด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์, อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว, อุปกรณ์ครัว, อุปกรณ์ล็อคอิเล็คทรอนิกส์, ไฟส่องสว่างแอลอีดี, สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ในห้องน้ำมาตรฐานจากประเทศเยอรมนี มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 45,000 รายการ
“การลงทุนด้านคลังสินค้าครั้งนี้ ถือเป็นการใช้งบประมาณครั้งใหญ่ของเฮเฟเล่
แต่แน่นอนว่าเป้าหมายของการลงทุนคือการผลักดันให้องค์กรมีการเติบโตขึ้น ซึ่งการมีคลังสินค้าของตัวเอง จะมีส่วนช่วยให้บริษัทมีความสามารถด้านการแข่งขันที่ดีขึ้น