นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ผู้นำกลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร เปิดเผยถึง ภาพรวมผลงานโค้งแรกของปีมีการเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 มีรายได้จากการให้บริการ 232.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 153.8 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง โดยมีปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น อาทิ งานโครงการ One Bangkok โครงการปรับปรุงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการ โซน ซี โครงการอาคารชุดพักอาศัยหลายโครงการ โครงการอาคารสำนักงาน และโครงการประเภทอาคารอเนกประสงค์ เป็นต้น สำหรับสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง สัดส่วน 90.8% และ สัดส่วนรายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม 9.2% ของรายได้จากการให้บริการรวม
ด้านกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 70.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 53.8 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 27.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 18.3 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น 30.4% อัตรากำไรสุทธิ 11.7%
“ผลประกอบการที่ออกมาเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทฯ สามารถควบคุมบริหารงานก่อสร้าง และส่งมอบงานได้สำเร็จลุล่วงตามกำหนดการที่วางไว้ รวมไปถึงโอกาสในการขยายงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยสถานะฐานะทางการเงินที่แข็งแรง บริษัทฯ ไม่มีเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน จึงพร้อมที่จะมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ” นายสมเกียรติ กล่าว
อย่างไรก็ดี ในปีนี้คาดจะเห็นกลุ่มบริษัทขยายไปสู่งานโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มากขึ้น เนื่องจาก บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้ซื้อหุ้นสามัญ ของ บริษัท เอเชียน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด หรือ AEC ในสัดส่วนร้อยละ 63.75 ของหุ้นสามัญในบริษัทดังกล่าวแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 โดยกลุ่มบริษัทฯ จะเริ่มนำผลการดำเนินงานของ เอเชียน เอ็นจิเนียริ่งฯ เข้ามาในผลการดำเนินงานรวมของกลุ่มบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้นในไตรมาสที่ 2 ปีนี้
พร้อมกันนี้ STI ปรับประมาณการณ์เป้าหมายรายได้ปีนี้เป็นเติบโต 80% จากเดิมตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2562 STI มีรายได้จากการให้บริการกว่า 712 ล้านบาท กำไรสุทธิ 85.5 ล้านบาท ขณะที่ งานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) ปัจจุบันมีรวมกันอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท สร้างความเชื่อมั่นให้ผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแรงในระยาว