ศ.ดร.นพ. เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH เปิดเผยว่าจากการที่สถานการณ์การแพร่ระบาดหนักของไวรัสโควิด-19 โรงพยาบาลในเครือทั้งโรงพยาบาลเกษมราษฎร์, เกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, เวิลด์เมดิคอล และการุญเวช ได้เข้าร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการให้บริการสุขภาพของคนไทย เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 พร้อมให้บริการเกี่ยวกับโควิด-19 อย่างเต็มรูปแบบ เริ่มจากการตรวจคัดกรองและหาเชื้อโควิด-19 แบบ Drive Thru ซึ่งผู้เข้ารับบริการไม่ต้องลงจากรถ รวมไปถึงการเข้าร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 กลุ่มที่มีความเสี่ยงแบบไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับคนไทยผู้มีสิทธิบัตรประกันสังคม บัตรทอง รวมไปถึงข้าราชการ อีกทั้งการเตรียมพื้นที่และเตียงรองรับการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่อาการเริ่มต้นไปจนถึงอาการรุนแรงที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ผู้ป่วยหนักที่ต้องใช้ห้อง ICU ทั้งนี้ก็เพื่อควบคุมและลดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทยให้ได้รวดเร็วที่สุด
พร้อมกันนี้ BCH ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผนที่วางไว้อย่างเข้มข้นตามกลยุทธ์หลัก ได้แก่ การขยายสาขาโรงพยาบาล พร้อมเพิ่มจำนวนผู้ประกันตน และเพิ่มบริการใหม่ๆ โดยตั้งเป้าการเติบโตโดยเฉลี่ยไว้ที่ 12-15% ทุกปี ล่าสุดเปิดให้บริการโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล สาขาอรัญประเทศ ที่จังหวัดสระแก้ว เป็นโรงพยาบาลขนาด 115 เตียง ซึ่งเป็นโลเคชั่นสำคัญเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้าน สามารถรองรับผู้ป่วยจากประเทศกัมพูชาได้ และจะเป็นโมเดลธุรกิจที่คล้ายกับการเปิดโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์ จังหวัดเชียงราย เน้นการปักหมุดในทำเลปากทางเข้าประเทศ เนื่องจากมีกำลังซื้อและโอกาสในการเติบโตที่ดี และประมาณปลายปี 2563 ก็จะดำเนินการตามแผนด้วยการเปิด โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ที่จังหวัดปราจีนบุรี เป็นลำดับต่อไป
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะการสร้างรายได้ให้ยั่งยืน จากนี้อาจจะไม่ได้มาจากลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก ผลจากปัจจัยโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ไม่สามารถทำให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศได้ 100% ธุรกิจโรงพยาบาลต้องเพิ่มในสิ่งที่สามารถเดลิเวอรี่ได้ เพื่อตอบสนองวิถีการใช้ชีวิตของผู้คน เริ่มด้วยการจัดส่งยาทางไปรษณีย์ ลดการเดินทางมาโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยรับยาประจำ, การฉีดวัคซีนส่งตรงถึงบ้านแบบ, ตามด้วยบริการปรึกษาแพทย์ผ่านโทรศัพท์แบบวิดีโอคอล หรือ Telemedicine อย่างไรก็ตามบริการรูปแบบใหม่เหล่านี้ เกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามหลังจากการที่ภาครัฐผ่อนปรนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้ประชาชนผ่อนคลายมากขึ้น และสัญญาณเศรษฐกิจต่างๆ น่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ต่อในปลายไตรมาส 2/2563 ทั้งนี้ภาพรวมของผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2563 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563) บริษัทมีกำไรสุทธิ 259 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมเท่ากับ 2,178 ล้านบาท