โดยบริษัทฯรายงานงบการเงินระหว่างกาล สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 ปรากฎกำไรสุทธิจากงบการเงินรวมจำนวน 64.88 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน ร้อยละ 30 จากการลดลงของกำไรจากธุรกิจสื่อนอกบ้าน และรายได้อื่นๆ อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม (บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP) ก็ถูกผลกระทบจากการอ่อนตัวของค่าเงินบาทเกือบร้อยละ 10 ซึ่งคาดว่าสถานการณ์ของค่าเงินบาทจะฟื้นตัวในไตรมาสที่ 2 แต่ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ยังสามารถทำผลกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย
ทั้งนี้ในส่วนของรายได้ด้านธุรกิจสื่อป้ายโฆษณาประเภท Static ยังทำรายได้อย่างโดดเด่นจำนวน 107.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น16.56 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.13 จากปีก่อน ในขณะที่ป้าย LED ทำรายได้รวม 82.18 ล้านบาท ลดลง 11.05 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.85 จากปีก่อน
รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน จำนวน 85.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.58 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วม “บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)” หรือ EP ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทดแทนและสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จำนวน 6.37 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 66 เนื่องมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
ปัจจุบันเนื่องจากบริษัทคาดว่าผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 จะยังคงอยู่อีกระยะหนึ่ง จึงได้วางแผนในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนไว้อย่างเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว การผ่อนชำระหนี้ต่างๆ และการชำระหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนด และบริษัทยังเตรียมแผนรับมือไว้ สำหรับกรณีที่เศรษฐกิจอาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ โดยคาดว่าจะช่วยลดผลกระทบจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและการดำเนินงานของบริษัทจะไม่หยุดชะงักได้
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าจากนโยบายของบริษัทที่ได้กระจายการลงทุนไปในธุรกิจที่แตกต่างกัน (Diversification of Investment) ทำให้สามารถสร้างเสถียรภาพของความสามารถในการทำกำไร (Stabilization of Profitability) ไว้ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวนอย่างรุนแรงนี้