ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี บำรุงราษฎร์ได้ยึดหลักความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วยเป็นหัวใจสำคัญ รางวัลเกียรติยศ 'Heroes of Humanity’ ครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณทีมผู้บริหารในการบริหารจัดการ และทีมปฏิบัติงานสหสาขาวิชาชีพทุกคนที่ช่วยกันทุ่มเทดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มความสามารถ
จากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 บำรุงราษฎร์ได้มีการปรับแผนการทำงานตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 โดยเริ่มจากจัดตั้งศูนย์บัญชาการ COVID-19 เพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาที่เกิดขึ้นทั่วโลก และออกมาตรการการควบคุมการติดเชื้อออกมาเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การนำร่องติดตั้งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ (Thermal Imaging Cameras) มาใช้ในมาตรการคัดกรองทุกทางเข้าอาคาร (point of entry) มีการเตรียมพร้อมด้านห้องปฏิบัติการ (LAB) โดยได้รับการรับรองให้เป็นเครือข่ายของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ในการตรวจเชื้อไวรัส SARS CoV-2 ด้วยวิธี Real time PCR ได้ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งถือว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่ได้รับการรับรองในการตรวจเชื้อ COVID-19 ล่าสุดโรงพยาบาลได้มีการนำ Rapid Test ในการตรวจหาภูมิของการติดเชื้อ COVID-19 ที่ผ่านการพิจารณาอนุมัติจาก อย. เข้ามาใช้ภายในโรงพยาบาล โดยใช้เลือดเพียง 2-3 หยด และใช้เวลาเพียง 10 นาทีก็จะทราบผล นอกจากนี้ ยังมีการปรับพื้นที่ในโรงพยาบาลฯ เพิ่มจำนวนห้องแยกโรคความดันลบ (negative pressure room) ที่มีระบบควบคุมความดันภายในห้องเป็นลบ เพื่อไม่ให้อากาศภายในห้องออกไปปนเปื้อนกับอากาศภายนอกห้อง มีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีแคปซูลความดันลบที่ใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมถึงได้นำนวัตกรรมหุ่นยนต์ Pulsed Xenon UV Robot ทำความสะอาดด้วยแสงยูวี เพื่อฆ่าเชื้อโรคทั้งแบคทีเรีย และไวรัส ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทิ้งสารปรอทตกค้าง เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย และบุคลากรในโรงพยาบาลทุกคน
ล่าสุดโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ติดอันดับ Top 5 ด้วยคะแนน 92.3% ในหัวข้อ “Thailand's Best Hospitals 2020” ซึ่งเป็นการจัดอันดับโดย Newsweek.com ซึ่งได้รวมโรงพยาบาลทั้งจากภาครัฐและเอกชนของประเทศไทย โดย Statista ร่วมกับ GeoBlue ผู้ให้บริการประกันภัย ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์นับหมื่นรายในประเทศที่เลือกนำมาสำรวจออนไลน์ ตั้งแต่เดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2562 โดยการจัดอันดับจะขึ้นอยู่กับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผลจากการสำรวจผู้ป่วย และตัวชี้วัดประสิทธิภาพทางการแพทย์ที่สำคัญ
ผศ. นพ. วิชัย เตชะสาธิต กล่าวปิดท้ายว่า “ด้วยปัจจุบันประเทศไทยยังสามารถควบคุมตัวเลขผู้ติดเชื้อ รวมถึงมีสถิติผู้ที่รักษาหาย และสถิติผู้เสียชีวิตได้เป็นอย่างดี ทำให้กลายเป็นประเทศที่จับตามองของนานาประเทศ วิกฤตในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีในการยกระดับและพัฒนาวงการแพทย์ไทย เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้ป่วยต่างชาติ นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการแบบ new normal ให้สะดวก เข้าถึงง่ายขึ้น แต่ยังคงมาตรฐานความปลอดภัย และโปร่งใส จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติ และทำให้ประเทศไทยก้าวสู่หนึ่งในประเทศที่มีความโดดเด่นในด้าน Medical Tourism อย่างยั่งยืน”