นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า เงาะเป็นไม้ผลเศรษฐกิจหลักชนิดหนึ่งของประเทศไทย ในปี 2562 มีปริมาณผลผลิตเงาะรวมทั้งประเทศ 280,166 ตัน แต่ที่ผ่านมาการส่งออกเงาะสดไปจำหน่ายตลาดต่างประเทศมีไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตที่ผลิตได้ โดยพบปัญหาสำคัญคือการเกิดสีน้ำตาลของเปลือกและขนเงาะรวมทั้งการเกิดอาการผลเน่าอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีสาเหตุมาจากภายหลังการเก็บเกี่ยวผลเงาะมีการสูญเสียน้ำอย่างรวดเร็ว เนื่องจากบริเวณขนเงาะมีปากใบจำนวนมากและที่ปลายขนยังมีขนเล็ก ๆ ทำให้เพิ่มพื้นที่ผิวในการคายน้ำ และภายใต้อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ทั่วไป เปลือกเงาะจะเปลี่ยนแปลงเป็นสีน้ำตาลและเหี่ยวแห้งได้ภายในระยะเวลา 3 - 4 วัน
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร ได้ศึกษาวิจัยหาเทคโนโลยีชะลอปัญหาการเกิดสีน้ำตาลของเปลือกและขนเงาะพันธุ์โรงเรียน เพื่อแก้ปัญหาให้สามารถส่งออกผลเงาะสดไปยังต่างประเทศได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่งผลจากการวิจัยพบว่าอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพและอายุการเก็บรักษา และการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับการขนส่งและการเก็บรักษาสามารถช่วยควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ในระหว่างการขนส่งและการเก็บรักษาให้คงที่และลดการสูญเสียน้ำทำให้ชะลอการเปลี่ยนแปลงสีเปลือกและสีขนของเงาะได้
นอกจากนี้ ผลจากการวิจัยยังพบสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผลิตผลเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วมาจากการเข้าทำลายของเชื้อราที่ก่อให้เกิดอาการผลเน่าจึงจำเป็นต้องใช้สารป้องกันและกำจัดโรคพืชหลังการเก็บเกี่ยว อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีนั้นต้องคำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงได้นำชีวภัณฑ์แบคทีเรียเพื่อควบคุมโรคผลเน่ามาใช้ทดแทนการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เพื่อเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีการยืดอายุการเก็บรักษาเงาะสดให้นานขึ้นและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ผลงานวิจัยนี้ทำให้ได้วิธีการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อลดการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยวของเงาะพันธุ์โรงเรียน โดยพบว่าระยะการเก็บเกี่ยวเงาะที่เหมาะสมคือในระยะสามสีที่เปลือกยังเป็นสีแดงอ่อนและขนเงาะยังเป็นสีเขียว ซึ่งเป็นระยะที่ทำให้สามารถเก็บผลเงาะได้นานขึ้น และการตัดขั้วผลเงาะให้ชิดผลด้วยกรรไกรแทนการปลิดด้วยมือ สามารถลดการเข้าทำลายของเชื้อราซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดโรคผลเน่าหลังการเก็บเกี่ยวได้ รวมทั้งการล้างผลเงาะด้วยน้ำสะอาดและแช่ในชีวภัณฑ์แบคทีเรีย Bacillus amyloliquefaciens DL9 อัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 10 ลิตร นาน 5 นาที สามารถลดการเกิดโรคผลเน่าของเงาะในระหว่างการเก็บรักษาได้และมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค
ส่วนการยืดอายุผลเงาะให้มีความสดใหม่ให้ใช้วิธีบรรจุผลเงาะในถุงพลาสติกชนิด LDPE ความหนา 25 ไมครอน และมีอัตราการซึมผ่านก๊าซออกซิเจน 10,000-12,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร/ตารางเมตร/วัน จะช่วยลดการคายน้ำของผลเงาะและลดอาการเปลือกสีน้ำตาลของเปลือกและขนเงาะได้ดี ทำให้สามารถเก็บรักษาผลเงาะให้มีความสดใหม่ได้นานขึ้น โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเก็บรักษาหรือขนส่งเงาะคืออุณหภูมิ 13 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90-95 เปอร์เซ็นต์
การพัฒนางานวิจัยเพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกเงาะสดไปยังประเทศคู่ค้าของไทยถือเป็นเรื่องที่สำคัญ แม้ไทยจะมีความได้ปรียบในด้านศักยภาพการผลิตเงาะที่มีคุณภาพและเส้นทางการส่งออกที่สะดวกกว่าแต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนหลายประเทศที่มีพื้นที่ปลูกเงาะพยายามผลักดันการส่งออกเงาะสดไปจำหน่ายยังประเทศต่าง ๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยต้องพัฒนาด้านการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อยืดอายุการขนส่งและการเก็บรักษาเงาะสดให้ได้นานขึ้น รวมทั้งยังต้องเป็นวิธีการที่คำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของผู้บริโภคด้วย
กรมวิชาการเกษตรพร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อลดการสูญเสียระหว่างการขนส่งและการเก็บรักษาเงาะพันธุ์โรงเรียน ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการส่งออก และผู้ที่สนใจได้นำไปใช้ประโยชน์และขยายผลต่อไป โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร โทรศัพท์ 0-2579-5582 และ 0-2579-6008