คุณ เนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ จะคำนวณจากการเปลี่ยนแปลงประเภทการลงทุนใน MACO จากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วม ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2563 ดังนั้นรายได้จากสื่อโฆษณากลางแจ้งที่ MACO ทำการบริหารโดยตรง และรายได้จากกลุ่มทรานซ์.แอดที่บันทึกภายใต้ธุรกิจบริการด้านดิจิทัลในปี 2561/62 จะถูกปรับปรุงออกจากงบกำไรขาดทุน โดยในอนาคตบริษัทฯ จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากการลงทุนจาก MACO เท่านั้น
สำหรับผลการดำเนินงานของ ธุรกิจสื่อโฆษณา มีรายได้ลดลง 7.6% YoY คิดเป็น 71.2% ของรายได้รวมหรือ 2,848 ล้านบาท ปัจจัยลดลงส่วนใหญ่มาจากการปรับปรุงสื่อโฆษณาบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นแบบดิจิทัล และอัตราการใช้สื่อที่น้อยลง นอกจากนี้การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นปี 63 ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสื่อโฆษณาจากการที่หลายๆ บริษัทหันมาพิจารณาชะลอการใช้งบโฆษณามากขึ้น ส่วนธุรกิจบริการด้านดิจิทัล ทำรายได้ 28.8% ของรายได้ทั้งหมด หรือคิดเป็น 1,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 117.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ภาพรวมการเติบโตมาจากการรับรู้รายได้จากโฆษณาออนไลน์ที่บริหารโดย VGI Digital Lab ซึ่งเป็นผู้ให้บริการออนไลน์เอเจนซี่ มุ่งเน้นในการสร้างแคมเปญการตลาดออนไลน์และดิจิทัลผ่าน Data Management Platform (DMP) ของกลุ่มบริษัท ในช่วงปีแรกของการดำเนินงานนี้จึงนับว่า VGI Digital Lab ประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 150 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากการเติบโตจากการเติบโตแบบ organic growth ภายใต้การบริหารงานของ Rabbit Group ด้วย
ด้านทิศทางดำเนินงานและพัฒนาการสำคัญของกลุ่มบริษัท
ธุรกิจสื่อโฆษณา บริษัทฯ ได้จัดตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ 'VGI Digital Lab’ เพื่อส่งมอบบริการด้านการตลาดออนไลน์ และร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ให้บริการการตลาดแบบออนไลน์และผู้นำด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในประเทศจีน เพื่อช่วยผลักดันให้แบรนด์ในภูมิภาคสามารถเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนผ่านการสร้างแคมเปญทางการตลาดแบบออนไลน์ดิจิทัล นอกจากนี้ภายหลังจากการเข้าลงทุนใน PlanB ในปีที่ผ่านมา ได้ร่วมกันเปิดตัวแพ็กเกจสื่อโฆษณาใหม่ ที่ได้รวมหน้าจอสื่อโฆษณาดิจิทัลของทั้ง VGI PlanB และ MACO รวมถึงการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคและ O2O โซลูชั่นส์ ช่วยยกระดับการทำงานของสื่อนอกบ้านให้น่าดึงดูดและวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ทางด้านธุรกิจบริการชำระเงิน ได้จับมือกับกลุ่มสหพัฒน์ ผู้นำด้านการจัดหาสินค้าอุปโภคและบริโภค เปิดให้บริการร้านค้าลอว์สัน 108 บน 12 สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสพร้อมเปิดช่องทางการชำระเงินผ่านบัตรแรบบิท และแรบบิท ไลน์ เพย์ ซึ่งปัจจุบันมีการเติบโตของผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง โดยบัตรแรบบิทมีผู้ใช้จำนวนทั้งสิ้น 13 ล้านใบ และผู้ใช้บริการแรบบิท ไลน์ เพย์ อยู่ที่ 7.3 ล้านราย สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ จากความร่วมมือกับ Kerry ในการสร้างสรรค์ synergy ใหม่ๆ เพื่อส่งมอบประสบกาณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง อาทิ การให้บริการส่งสินค้าตัวอย่างและการให้บริการโฆษณาผ่าน Parcel Sticker กว่า 5 - 6 แสนชิ้น และบริการโฆษณาบนรถขนส่งพัสดุของ Kerry จำนวนกว่า 400 คัน รวมถึงขยายจุดให้บริการจัดส่งพัสดุบน 4 สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส
การระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนและธุรกิจทั่วโลกไปในวงกว้าง ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพนักงาน ลูกค้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน จึงได้ออกมาตรการเพื่อรักษาความปลอดภัยในองค์กรอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มทั้งหมดของบริษัทฯ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเสนอพื้นที่สื่อโฆษณาให้กับหน่วยงานราชการและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับโรค COVID-19 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และให้ธุรกิจบริการชำระเงินเป็นหนึ่งในช่องทางการบริจาคเพื่อร่วมสมทบทุนการผลิตอุปกรณ์ป้องกันและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงมอบโอกาสให้คนขับรถแท็กซี่เป็นส่วนหนึ่งในการส่งพัสดุ Kerry และให้บริการฟรีสำหรับผู้ที่ต้องการส่งของใช้ที่สำคัญให้แก่ทีมแพทย์และโรงพยาบาล
สำหรับปี 2563/64 บริษัทฯ คาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อทุกหน่วยธุรกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงได้รับผลบวกจากความต้องการของนักโฆษณาที่หันมาใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาใช้บริการผ่านตลาดอี-คอมเมิร์ซที่ส่งผลดีต่อทุกหน่วยธุรกิจ นอกจากนี้เรายังมุ่งเน้นในการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ และเลื่อนการลงทุนในโครงการใหม่ๆ แต่ยังคงมุ่งต่อยอดผลงานจากโครงการที่มีอยู่ในมือ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงในสถานะทางการเงินของบริษัทฯ อีกด้วย
จากสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน เรายังไม่สามารถประเมินได้ว่าการแพร่ระบาดจะยุติลงเมื่อใด อีกทั้งการมีมาตรการใหม่ๆ ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถให้แนวโน้มการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนสำหรับปี 2563/64 ได้ อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และจะประกาศแนวโน้มผลการดำเนินงานอีกครั้งเมื่อผลกระทบจากสถานการณ์นี้มีความชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลในครึ่งปีหลังของปี 2562/63 ที่ 0.016 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น
ท้ายที่สุดเราขอถือโอกาสนี้แสดงความปรารถนาดีต่อทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้งกับ COVID-19 ในประเทศไทยเพื่อผ่านพ้นวิกฤตินี้อย่างปลอดภัยไปด้วยกัน ผู้อำนวยการใหญ่กล่าวเพิ่มเติม