ทีมงานของสโตร์ฮับใช้เวลาพัฒนาฟีเจอร์ Beep Delivery ขึ้นมาภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากที่มีการประกาศล็อกดาวน์ 14 วันในประเทศมาเลเซีย เมื่อวันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563 เนื่องจากทีมงานทราบเป็นอย่างดีว่า การส่งอาหารออนไลน์จะเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยพยุงธุรกิจของลูกค้าไว้ได้
และเมื่อมีประกาศล็อกดาวน์ปิดพื้นที่เสี่ยงในกรุงเทพและปริมณฑลในวันที่ 22 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ทีมงานสโตร์ฮับก็เร่งทำงานและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเปิดตัว Beep Delivery เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารในไทยสามารถสร้างรายได้ผ่านทางการส่งเดลิเวอรี่ และบริษัทได้เปิดตัวฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ปัจจุบันร้านอาหารจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 25 - 35% จากทุก ๆ ยอดขายให้กับแอพสั่งอาหาร Food Delivery สโตร์ฮับจึงพัฒนาระบบส่งอาหารออนไลน์ขึ้นภายใต้ชื่อ Beep Delivery โดยเก็บค่าบริการจากร้านอาหารเพียง 2% เท่านั้น* (ไม่รวมค่าระบบฟีเจอร์จัดการร้านอาหาร) เพราะสโตร์ฮับเห็นว่าการหักค่าธรรมเนียมและส่วนต่างราคาแพง จะทำให้ร้านอาหารมีโอกาสไปต่อได้ยากในช่วงเวลาที่ลำบากเช่นนี้ ซึ่งเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่นแล้ว สโตร์ฮับสามารถช่วยผู้ประกอบการร้านอาหารประหยัดค่าดำเนินการและเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจได้มากถึง 27%!
และการเปิดให้บริการฟีเจอร์ใหม่พร้อมค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมนี้เองที่ทำให้สโตร์ฮับมั่นใจว่าธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มจะยังสร้างยอดขาย ทำกำไร และมีเงินหมุนเวียนกันต่อไป
เพื่อขับเคลื่อนบริการสั่งอาหารออนไลน์และฟู้ด เดลิเวอรี่ (Food Delivery) อย่างเต็มรูปแบบ สโตร์ฮับได้ร่วมมือกับ Lalamove, Skootar และบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำ พร้อมรวบรวมพนักงานส่งอาหารทั้งในกรุงเทพ, นครปฐม, สมุทรปราการ เพื่อให้มั่นใจว่าคนไทยทุกคนที่อยู่บ้านจะได้ทานอาหารร้านโปรดในช่วงล็อกดาวน์นี้
“เราเริ่มภารกิจ #Saveร้าน เพื่อให้บริการร้านค้าออนไลน์และ Food Delivery สำหรับร้านอาหารทันที เป็นภารกิจสำคัญที่เรามุ่งมั่นช่วยเหลือธุรกิจในพื้นที่ให้ไปต่อได้ในช่วงนี้ เพราะธุรกิจร้านอาหารที่ว่านี้ถือเป็นแหล่งรายได้ของใครหลายคน” Wai Hong Fong ผู้บริหารบริษัท สโตร์ฮับกล่าว
ทั้งนี้จากการรายงานของ JP Morgan Chase ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจขนาดเล็กก็พบว่า ปกติแล้วร้านอาหารจะมีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายเพียง 16 วันเท่านั้น บวกกับข้อมูลสถิติที่สโตร์ฮับมีก็พบว่า 57% ของร้านอาหารจะต้องเผชิญกับปัญหารายได้ลดลงมากกว่า 50% ในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งนี้เองที่เป็นแรงผลักดันให้ทีมงานสโตร์ฮับของเราพัฒนา Beep Delivery ขึ้นมา และเราก็ทำงานกันอย่างหนักเพื่อให้มั่นใจว่าร้านอาหารและธุรกิจต่าง ๆ จะยังคงมีรายได้ ไม่ใช้เงินสำรองจ่ายจนหมด หรือต้องปิดตัวลง
ในปัจจุบันร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ใช้บริการแอปพลิเคชั่นส่งอาหารอื่น ๆ จะต้องพึ่งพาคนสั่งซื้อบนแอป ส่วนใหญ่แล้วแอปพลิเคชั่นเหล่านั้นจะพยายามโปรโมทร้านอาหารในเครือหรือร้านอาหารที่มีชื่อเสียง เพื่อเพิ่มรายได้ของแอพพลิเคชั่นเอง
ทางทีมงานสโตร์ฮับจึงพัฒนา https://beepit.com/ เว็บสั่งอาหารออนไลน์ที่รวมร้านอาหารเด็ด ๆ ซึ่งร้านเหล่านี้จะส่งตรงอาหารแสนอร่อยไปยังลูกค้าที่อยู่บ้านในช่วงล็อกดาวน์ได้อย่างง่ายดาย Beepit.com จะเป็นเสมือนช่องทางในการช่วยโปรโมทร้านอาหาร ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญ ด้วยตัวฟีเจอร์ Beep Delivery เองนั้น ลูกค้าจะสามารถโปรโมทร้านอาหารของตัวเองผ่านทางโซเชียลมีเดีย ร้านค้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาลูกค้าบนแอปพลิเคชั่นเท่านั้น แต่ร้านค้าจะได้เว็บไซต์ ชื่อร้านค้า.beepit.com เพียงเท่านี้ร้านค้าก็โปรโมทผ่านโซเชียลมีเดีย เชิญชวนคนมาซื้ออาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ