ในฐานะบริษัทที่มีความห่วงใยต่อสังคม อาลีบาบาจึงใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อร่วมต่อสู้กับระบาดของโควิด-19 ทั้งภายในและนอกประเทศจีนอย่างเต็มที่ ตามพันธกิจของอาลีบาบาที่ต้องการให้ทุกคนสามารถทำธุรกิจได้ง่ายจากทุกที่ทั่วโลก
หลังจากโควิด-19 เริ่มระบาดในเดือนมกราคม อาลีบาบาได้ส่งความช่วยเหลือฉุกเฉินต่างๆ ไปให้เมืองอู่ฮั่นทันที และประกาศมาตรการช่วยเหลือผู้ขายบนแพลทฟอร์มอาลีบาบาทั้งหมด 20 มาตรการซึ่งครอบคลุม 6 ด้าน เช่น การงดเก็บค่าดำเนินการจากผู้ขาย การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือ 0% และเปิดให้เข้าใช้บริการดิจิทัล รวมทั้งเปิดรับสมัครตำแหน่งงานแบบยืดหยุ่น โดยทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้ก้าวผ่านวิกฤตในช่วงที่เกิดโรคระบาด
อาลีบาบายังได้นำโครงการ “Spring Thunder” กลับมาใช้เพื่อสนับสนุนธุรกิจและการผลิตในจีนให้ฟื้นตัวโดยเร็ว โดยโครงการดังกล่าวถูกนำมาใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2552 ในช่วงที่เกิดวิกฤตซับไพรม์ ส่วนในวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้โครงการ Spring Thunder ได้ช่วยให้เอสเอ็มอีทั้งในจีนและในต่างประเทศเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และกระตุ้นการขายภายในประเทศ ช่วยฟื้นฟูภาคการเกษตรทั่วประเทศจีน และช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิมสามารถปรับตัวไปสู่รูปแบบดิจิทัล
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 อาลีบาบาได้งดเว้นการเก็บค่าบริการบนแพลตฟอร์มให้กับผู้ขายบนทีมอลล์ คิดเป็นเงินทั้งหมด 610 ล้านหยวน หรือราว 2,717 ล้านบาท นอกจากนี้เถาเป่าและทีมอลล์ยังร่วมมือกับไช่เหนี่ยวซึ่งเป็นเครือข่ายสมาร์ทโลจิสติกส์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ในการงดเก็บค่าซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ให้กับผู้ขาย เป็นเงิน 360 ล้านหยวน หรือราว 1,600 ล้านบาท ส่วน MYBank ได้ให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีในประเทศจีนด้วยการให้เครดิตเทอมที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งคิดเป็นเงินมากกว่า 439 ล้านหยวน หรือราว 1,956 ล้านบาท
สถาบันต๋าโม๋ (DAMO Academy) ของอาลีบาบายังติดตั้งโซลูชั่นวิเคราะห์ภาพแบบซีทีแสกนโดยใช้ AI ให้แก่โรงพยาบาล 550 แห่งในจีน เพื่อใช้ตรวจวินิจฉัยโควิด-19 นอกจากนี้อาลีบาบา คลาวด์ ยังออกมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีทั่วโลกรวมมูลค่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 952 ล้านบาท โดยมีเอสเอ็มอีมากกว่า 600 รายได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว
อาลีบาบา กรุ๊ป ได้บริจาคอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อมากกว่า 73 ล้านชิ้น คิดเป็นเงิน 480 ล้านหยวน หรือราว 15,243 ล้านบาท ให้แก่เมืองอู่ฮั่นและภูมิภาคที่อื่นๆ ในจีนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาด นอกจากนี้ยังบริจาคเงินให้กับองค์กรระดับโลก เช่น องค์การอนามัยโลก และอีกหลายภูมิภาคทั่วโลก
ในทุกวิกฤตล้วนมีโอกาสเสมอ แดเนียล จาง ประธานกรรมการและซีอีโอ อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า “ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทั่วโลก มีสองสิ่งที่แน่ชัดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต คือ 1) เทรนด์ของผู้บริโภคในจีนจะเปลี่ยนไปสู่รูปแบบวิถีชีวิตดิจิทัล และ 2) จีนจะยังคงจุดยืนในการเป็นโรงงานผลิตของโลกแต่ที่มากกว่านั้นคือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลระดับสูงเข้ามาใช้ มีคำกล่าวที่ว่า 'คนที่เตรียมพร้อม ย่อมได้เปรียบกว่า’ ซึ่งเป็นจริงอย่างยิ่ง ดังนั้นเอสเอ็มอีจึงควรคิดแล้วว่าจะปรับตัวอย่างไรในช่วงที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป เพื่อที่จะได้ไม่พลาดโอกาสในการแข่งขันเมื่อตลาดกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากวิกฤต”
ตัวอย่างหนึ่งของการอุทิศตนให้กับลูกค้าของของอาลีบาบา กรุ๊ป เห็นได้จากช่วงที่เกิดโรคซาร์สในปี 2546 ซึ่งบริษัทสามารถรักษาระดับการให้บริการลูกค้าได้เหมือนปกติ แม้ว่าพนักงานจำนวนมากของบริษัทต้องทำงานจากที่บ้าน
ในปี 2563 อาลีบาบาได้เติบโตจากบริษัทอีคอมเมิร์ซ ไปเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีอีโคซิสเท็มหลากหลาย รวมถึงเทคโนโลยีพื้นฐานต่างๆ ระบบการจ่ายเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ บริการขนส่งท้องถิ่น และอีคอมเมิร์ซ
เมื่อโควิด-19 ระบาด อาลีบาบาได้นำความเชี่ยวชาญของระบบเศรษฐกิจอาลีบาบาและความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจกว่า 20 ปี ทั้งความสามารถด้านอีคอมเมิร์ซ นวัตกรรมเทคโนโลยี และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าและตลาด มาใช้เพื่อสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างดีที่สุด ซึ่งด้วยความสนับสนุนดังกล่าวทำให้ลูกค้าและพันธมิตรของอาลีบาบาสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ได้อย่างรวดเร็ว