สำหรับโครงการปัจจุบันที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัท คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 220 เมกะวัตต์ ณ เมืองมินบู ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพ เมียนมา ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อพัฒนาและดำเนินงานแบบ BOT (Built-Operate-Transfer) ระยะเวลาสัญญา 30 ปี ด้วยอัตรารับซื้อค่าไฟฟ้า 0.1275 USD / KWh แบ่งเป็นระยะเวลาการดำเนินการก่อสร้างทั้งหมด 4 เฟส โดย 3 เฟสแรกมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งอยู่ที่ 50 MW เฟสสุดท้าย 70 MW ขนาดพื้นที่รวมโครงการ 836 เอเคอร์ หรือเท่ากับ 2,115 ไร่ ได้รับสิทธิเช่าพื้นที่จากรัฐบาลและบริษัทเอกชนในประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อมีการผลิตกระแสไฟฟ้าแล้วจะขายให้กับ Electric Power Generation Enterprise (“EPGE”) ภายใต้กระทรวงไฟฟ้าและพลังงาน รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
“ภาพรวมของอุตสาหกรรมพลังงาน มีความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ อาทิ ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบูเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีกำลังการผลิตที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 350,000,000 kWh/ปี รองรับการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 200,000 ครัวเรือน สอดคล้องกับปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้น อีกทั้งการเข้าถึงการใช้ไฟฟ้าของประชาชนในเมียนมามีเพียงแค่ร้อยละ 50 ในช่วงปี 2562 และตั้งเป้าการเข้าถึงไฟฟ้าร้อยละ 100 ภายในปี 2573 ปัจจุบันโรงไฟฟ้าในประเทศเมียนมาผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์แล้ว
จำนวน 5,642 MW และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 4,940 MW รัฐบาลยังมีแผนการพัฒนาขยายสายส่งกระแสไฟฟ้าเพิ่มอีกรวมกว่า 5,302 ไมล์ทั่วประเทศเมียนมา
นอกจากนี้แล้วบริษัทฯ ยังมีแผนการในการมุ่งพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบูทั้งสี่เฟสให้สำเร็จลุล่วง และพัฒนาโครงการพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนโครงการอื่น โดยมีเป้าหมายหลักเป็นประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาตลอดจนริเริ่มโครงการพลังงานหมุนเวียนที่ประเทศอื่นในภูมิภาคด้วย
โดยผลการดำเนินงานของบริษัทล่าสุดในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2563 มีกำไรจากการจำหน่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เท่ากับ 88.58 ล้านบาท บริษัทเริ่มมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์สำหรับเฟสที่ 1 ขนาด 50 MW ที่แล้วเสร็จ นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 ที่ผ่านมา
บริษัทฯ จึงมีแผนที่จะเตรียมตัวสำหรับการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในขยายธุรกิจและเป็นเงินหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ตลอดจนพัฒนาระบบบริหารจัดการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จของพันธกิจที่ตั้งไว้คือ การเป็นผู้นำทางความคิดที่จะลดการปล่อยมลพิษเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยแต่งตั้ง บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน” นายออง ทีฮา กล่าว
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สแกน อินเตอร์ หรือ SCN เปิดเผยว่า SCN เข้ามาผนึกกำลังกับ GEP ในสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 40 เราถือเป็นผู้บุกเบิกด้านพลังงานในเมียนมา เปิดโอกาสให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ในอนาคต ไม่ใช่เพียงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หากแต่เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกธุรกิจพลังงานที่จะเกิดขึ้นได้ในเมียนมา นอกไปจากนี้โครงการยังมีความมั่นคงสูง เนื่องจากสร้างมาจากพื้นฐานความต้องการการใช้ไฟฟ้าในประเทศอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เน้นภาพลักษณ์หรือเน้นด้านการใช้พลังงานสะอาด อีกทั้งยังถือเป็นการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืนสามารถต่อยอดการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้านต่างๆ ได้อีก สร้างโอกาสให้เกิดความมั่นคงด้านสาธารณูปโภค ที่มีนัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของประเทศเมียนมา
มั่นใจว่าโรงไฟฟ้ามินบูสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างดีให้กับ สแกน อินเตอร์ และผู้ถือหุ้นทุกราย รวมถึงผู้ที่กำลังจะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่ๆ อย่างแน่นอน
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค หรือ ECF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 220 เมกะวัตต์ ประเทศเมียนมา ในสัดส่วนร้อยละ 20 โดยลงทุนผ่าน บริษัท อีซีเอฟ พาวเวอร์ จำกัด ในฐานะบริษัทย่อยของบริษัท โครงการดังกล่าว เป็นโครงการที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้การบริหารงานของ GEP
สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทน ECF ในปีนี้เห็นการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยที่ผ่านมารับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลภาคใต้ขนาด 7.5 เมกะวัตต์ ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ มินบู ที่เฟสแรก (50 MW) สามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ COD และเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรงวดแรกเข้ามาเต็มในไตรมาส 4/62 ส่วนเฟสที่ 2 3 และ 4 อยู่ระหว่างวางแผนเพื่อก่อสร้างให้ครบโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุน
นายศุภศิษฏ์ โภคินจารุรัศมิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เมตะ คอร์ปอเรชั่น หรือ META กล่าวว่า META ถือเป็นผู้เริ่มบุกเบิกการเข้าลงทุนใน GEP เพื่อเข้ามาพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ในเมียนมา นอกจากเป้าหมายทางธุรกิจแล้วยังมีเป้าหมายที่ต้องการให้ชาวเมียนมามีไฟฟ้าใช้เพื่อการดำรงชีวิตตลอดจนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ นอกไปจากนี้โครงการมินบูยังเป็นโครงการที่มีศักยภาพสูง เป็นโรงไฟฟ้าโรงแรกและใหญ่ที่สุดในเมียนมา ทั้งนี้ META ยังเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้ามินบูที่ ซึ่งกำลังดำเนินการก่อสร้างเฟส 2, 3 และ 4 ตามลำดับ ความสำเร็จในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบูเฟสที่ 1 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทฯ เมตะ ในการรับเหมาก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ มั่นใจว่าในอนาคตจะมีส่วนร่วมเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคต่อไป
ดร. วีรพัฒน์ เพชรคุปต์ กรรมการบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า GEP มีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการดำเนินการปรับโครงสร้างทางการเงิน โครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ให้มีความเหมาะสมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และอยู่ในระหว่างการเตรียมแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) เพื่อยื่นคำขออนุญาตต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยคาดว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งและระดมทุนได้เร็ว ๆ นี้
“GEP เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานที่ดี มีศักยภาพในการเติบโต ด้วยการดำเนินงานจากทีมผู้บริหารที่มีความรู้ ความเข้าใจ มีศักยภาพ และประสบการณ์ในด้านธุรกิจพลังงาน และมีการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์จะช่วยเพิ่มศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจของบริษัท ให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด สามารถแข่งขันได้ รองรับการขยายตัวของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก” ดร.วีรพัฒน์ กล่าว