นายพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารตระหนักถึงความต้องการของกลุ่มลูกค้าธุรกิจในปัจจุบัน ที่ทุกภาคส่วนต่างมีข้อจำกัดในการทำธุรกิจมากขึ้น จากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ประกอบกับพฤติกรรมของผู้คนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หรือกำลังก้าวเข้าสู่ New Normal โดยเฉพาะความเข้มข้นของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ที่ขยายวงกว้างเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ความมุ่งมั่นของธนาคารกรุงเทพ ต้องการอยู่เคียงข้างและเป็นเพื่อนคู่คิดสำหรับนำพาธุรกิจเอสเอ็มอีไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ จึงเร่งส่งมอบบริการบัวหลวง สมาร์ท บิล เพย์เมนท์ (Bualuang Smart Bill Payment) เพื่อเป็นตัวช่วยสำคัญในการจัดการธุรกิจ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกด้านบริการรับชำระเงินอย่างครอบคลุม หรือ Digital Payment Total Solutions เพื่อความสะดวก ง่าย ลดความยุ่งยากและข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากขั้นตอนการบริหารจัดการเงินสด และยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจ สามารถจัดสรรบุคลากรที่มีอยู่อย่างมีศักยภาพมากขึ้น ผ่านการนำระบบเข้ามาช่วย ลดขั้นตอนจัดการแบบ Manual มาสู่รูปแบบของดิจิทัล ซึ่งรองรับธุรกิจได้หลากหลาย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีการทำธุรกรรมประเภทรับ -จ่าย ในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก อาทิ ธุรกิจบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์, ตลาดสด, สถาบันกวดวิชา, บริการให้เช่ารถยนต์ เป็นต้น
“บริการบัวหลวง สมาร์ท บิล เพย์เมนท์ เหมาะกับผู้ประกอบธุรกิจเกือบทุกประเภทที่มีรายการรับชำระหรือจ่ายเงินต่อวันเป็นจำนวนมาก ลดอุปสรรคและภาระในการตรวจสอบการทำรายการธุรกรรมต่างๆ ที่มีปริมาณมาก ทำให้ต้องสูญเสียทั้งเวลาและกำลังพลของบุคลากร จนกระทบต่อศักยภาพด้านการแข่งขันทางธุรกิจ ขณะที่บริการบัวหลวง สมาร์ท บิล เพย์เมนท์ จะเป็นตัวช่วยที่ดีของลูกค้าธุรกิจในการบริหารจัดการเงินสด ด้วยบริการรับชำระเงินที่ครอบคลุมทุกช่องทาง ทั้งภายในธนาคารกรุงเทพ และจากต่างธนาคาร ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าและคู่ค้าของบริษัท รวมทั้งช่วยสรุปข้อมูลรายรับ-จ่าย ที่เกิดขึ้น และยังขอรับรายงานเพื่อตรวจสอบการชำระเงินของลูกค้าและคู่ค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถให้บริการได้แบบทุกที่ ทุกเวลา และถือเป็นบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการในยุค New Normal ที่ผู้คนพยายามหลีกเลี่ยงกับการสัมผัสเงินสดโดยตรงลงอีกด้วย”
สำหรับสหกรณ์ราชพฤกษ์แท็กซี่และสหกรณ์บวรแท็กซี่ เป็นตัวอย่างผู้ประกอบการที่มีรายการธุรกรรมผ่านธนาคารแต่ละเดือนเป็นจำนวนมาก และเลือกบริการบัวหลวง สมาร์ท บิล เพย์เมนท์ เป็นตัวช่วยในการจัดการให้ธุรกิจสะดวกและคล่องตัวยิ่งขึ้น ด้วยบริการรองรับทั้งการรับชำระค่าโดยสารผ่านคิวอาร์โค้ดพร้อมเพย์ และบริการรับชำระค่าเช่ารถแท็กซี่ผ่านคิวอาร์โค้ดบน Bualuang mBanking พร้อมบริการแจ้งผลการชำระเงินทุกรายการให้สหกรณ์ทราบแบบทันที รวมทั้งเชื่อมต่อระบบสรุปผลการชำระเงินในแต่ละวัน ทำให้สหกรณ์ฯ มั่นใจในความปลอดภัยทุกการทำธุรกรรมและลดข้อผิดพลาดทางบัญชีการเงิน รวมถึงทราบแหล่งที่มาของยอดโอนเงินในบัญชี ช่วยให้แยกประเภทค่าใช้จ่ายได้ชัดเจน จึงไม่ต้องเปิดบัญชีหลายบัญชี หลายธนาคาร ลดระยะเวลาและขั้นตอนการติดต่อกับหลายธนาคารลงได้
“ความเข้าใจอุปสรรคที่ลูกค้าหรือเจ้าของธุรกิจต้องเผชิญ ทำให้ธนาคารกรุงเทพสามารถพัฒนาและส่งมอบบริการที่ตรงความต้องการลูกค้าได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 กลายเป็นปัจจัยเร่งสำคัญในการขับเคลื่อนสู่ยุค New Normal ที่พฤติกรรมผู้คนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เน้นทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และช่วยสร้างความมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัย เพราะลดโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากการสัมผัสธนบัตรโดยตรง ส่งผลให้ตัวเลขการเติบโตของบริการบัวหลวง สมาร์ท บิล เพย์เมนท์ สูงเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค. – เม.ย. 2563) มีธุรกิจตอบรับการใช้บริการเป็นจำนวนมาก สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงจากความปกติใหม่ในสังคมที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ” นายพิพัฒน์กล่าว
ด้านนายฐาปกรณ์ อัศวเลิศกุล ประธานที่ปรึกษาสหกรณ์ราชพฤกษ์แท็กซี่และสหกรณ์บวรแท็กซี่ กล่าวว่า บริการบัวหลวง สมาร์ท บิล เพย์เมนท์ ช่วยเพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจของสหกรณ์ฯ ได้จริง โดยเฉพาะการจัดสรรกำลังพลให้มีประสิทธิภาพ เพราะธรรมชาติของธุรกิจให้บริการเช่ารถแท็กซี่จะมีรายการรับโอนค่าเช่าแท็กซี่จากสมาชิกในแต่ละเดือนจำนวนมาก และบ่อยครั้งที่มียอดเข้ามาพร้อมกันครั้งละหลายรายการ ทำให้เกิดความยุ่งยากและใช้เวลานานในการจัดบุคลากรทำหน้าที่ตรวจสอบรายการต่างๆ ที่เกิดขึ้น การมีบริการของธนาคารกรุงเทพเข้ามาเติมเต็มในช่วงเวลานี้ ช่วยให้สหกรณ์สามารถบริหารจัดการธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้สหกรณ์ ประหยัดเวลาในการติดต่อหลายๆธนาคาร ทำให้มีเวลายกระดับบริการของสหกรณ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจในภาพรวมให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
“ปัจจุบันสหกรณ์ฯ มีรถที่ให้บริการอยู่จำนวนมาก และยังมีแผนเพิ่มเติมรถใหม่ทุกๆ เดือน จึงจำเป็นต้องมีระบบเข้ามาช่วยเพิ่มความคล่องตัว และรองรับแนวโน้มของปริมาณธุรกรรมที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันยังช่วยสร้างความคุ้นเคยให้กับผู้ขับรถแท็กซี่ในการรับชำระค่าโดยสารผ่าน Digital Payment ให้ขยายวงได้กว้างขึ้น สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าในยุคปัจจุบัน ที่ต้องการความง่าย สะดวก รวดเร็ว ในการใช้บริการ รวมทั้งเพิ่มความปลอดภัย เพราะปราศจากการสัมผัสเงินสดโดยตรง ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ทำให้ในปัจจุบันผู้ขับรถแท็กซี่ของสหกรณ์ฯ เกือบทุกคนเรียนรู้และคุ้นเคยระบบดิจิทัลเพย์เมนท์เป็นอย่างดี”
นายฐาปกรณ์ กล่าวต่อว่า ทางสหกรณ์ และธนาคารกรุงเทพฯ ยังมีแนวทางเดียวกันในการดูแลลูกค้า ในฐานะเพื่อนคู่คิด โดยเฉพาะการหาโซลูชั่นส์ทางธุรกิจที่ดีเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับแท็กซี่ ทั้งการสั่งรถจากโรงงานตามมาตรฐาน และคุ้มครองทั้งการซ่อมและเปลี่ยนอะไหล่ และมีรถสำรองให้ขับระหว่างการซ่อมบำรุงเพื่อไม่ให้กระทบต่อรายได้ รวมไปถึงให้ความสำคัญกับการดูแลช่วยเหลือแท็กซี่ที่อยู่ในเครือข่ายซึ่งมีไม่ต่ำกว่าหมื่นราย โดยเฉพาะในยามวิกฤติ เช่น การลดค่าเช่ารายวันลง เพื่อลดภาระผู้ขับแท็กซี่ หรือการจัดทำถุงยังชีพเพื่อมอบให้กับสมาชิกเป็นการช่วยเหลืออีกทางหนึ่งด้วย
“ทางสหกรณ์ฯ เชื่อมั่นว่าบริการนี้จะสามารถเพิ่มศักยภาพให้สหกรณ์ฯ ได้ อีกทั้งทางสาขาธนาคารกรุงเทพ ยังได้อำนวยความสะดวกในการเปิดบัญชี ลงทะเบียนคิวอาร์โค้ด พร้อมเพย์ และแนะนำวิธีการใช้งาน MBanking ให้กับผู้ขับรถทุกราย รวมทั้งสิทธิประโยชน์ที่ทางธนาคารกรุงเทพมอบผู้ขับแท็กซี่ของสหกรณ์ฯ ในฐานะพันธมิตร เช่น การเปิดบัญชีใหม่พร้อมเปิดบัตรเพื่อรองรับการทำธุรกรรมโดยไม่มีค่าธรรมเนียม พร้อมสิทธิประโยชน์การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น ซึ่งสหกรณ์ฯ พอใจเป็นอย่างมาก” นายฐาปกรณ์ กล่าว