สอวช. คลอดรายงานการศึกษาวิจัยมาตรการด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.)

อังคาร ๐๙ มิถุนายน ๒๐๒๐ ๐๙:๑๓
ดร. กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เปิดเผยว่า รายงานการศึกษาเกี่ยวกับมาตรการด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) เพื่อรองรับการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สอวช. และผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา ในหลากหลายสาขาวิชาชีพทั้งด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ในช่วงตลอดระยะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก โดยเนื้อหานำเสนอตั้งแต่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผลกระทบที่เกิดขึ้นและมาตรการลดผลกระทบของทั้งไทยและทั่วโลก ตลอดจนโมเดลการฟื้นฟูและภาพอนาคตของประเทศไทยใน 4 ระยะ เป้าหมายและประเด็นสำคัญด้าน อววน. เพื่อรองรับการฟื้นฟู และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่แบ่งออกเป็น 6 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจชุมชน ด้านการเกษตรและอาหาร ด้านการท่องเที่ยว ด้านการผลิต ด้านการบริการ ด้านการศึกษา และด้านการสาธารณสุข และปิดท้ายด้วยข้อเสนอแผนงานการสร้างงานและรายได้รองรับคนตกงานและผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นเหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความเสี่ยงด้านสุขภาพของประชากร ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องออกมาตรการยับยั้งการแพร่ระบาด เช่น การปิดเมือง (lockdown) ทั้งภายในประเทศและการปิดพรมแดนระหว่างประเทศ การให้อยู่ในที่พักอาศัยทั้งการบังคับและความสมัครใจ (voluntary/compulsory self quarantine/isolation) การตรวจและติดตามกลุ่มเสี่ยง (contact tracing) การปิดสถานประกอบการบางประเภทที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้างและการปิดสถานศึกษาชั่วคราว การเว้นช่องว่างทางสังคม ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้เอง ผนวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบทั้งต่อสถานภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ กล่าวคือ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีเงินทุนหมุนเวียนไม่มากนักจะเกิดปัญหาสภาพคล่องจากการที่ธุรกิจต้องปิดตัวลงชั่วคราว ประชาชนที่เป็นกลุ่มแรงงานขาดรายได้ทั้งจากการเลิกจ้างชั่วคราวและถาวร ในขณะที่ด้านสังคม พฤติกรรมของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป มีความตื่นตัวด้านสุขอนามัยมากขึ้น

ดร. กิติพงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทย ภาครัฐได้ออกมาตรการช่วยเหลือไปแล้วหลากหลายมาตรการ เช่น โครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” ที่ภาครัฐให้เงินช่วยเหลือประชาชน 5,000 บาทต่อเดือน การให้สินเชื่อพิเศษทั้งของบุคคลธรรมดา และผู้ประกอบการเพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่อง การลดค่าธรรมเนียม ค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่าต่าง ๆ รวมถึงการขยายเวลาการชำระภาษี รวมถึงการอนุมัติวงเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวน 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 60 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 แต่ในระยะต่อไป ซึ่งครอบคลุมถึงระยะผ่อนคลายการควบคุมและเริ่มกลับสู่การประกอบการกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ระยะการฟื้นฟูและปรับตัวภายหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย และระยะการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจและการปรับตัวของสังคมใหม่ รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการอื่นๆ ที่จะสนับสนุนในการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการช่วยเหลือภาคส่วนต่าง ๆ ในการปรับตัวเข้าสู่ความปกติใหม่ (New Normal)

“สอวช. ได้ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลทั้งจากตัวเลขสถิติข้อมูลสถานการณ์ปัจจุบัน การประชุมระดมความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ และเอกสารเผยแพร่ต่าง ๆ เพื่อออกแบบมาตรการด้าน อววน. เพื่อรองรับการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อาทิ

การสร้างงานในชุมชน โดยใช้กลไกยุวชนสร้างชาติ และ Cooperative Commune Coaching platform ในการสร้างแหล่งน้ำเกษตร และการพัฒนาชุมชนนวัตกรรม เพื่อสร้าง value chain อุตสาหกรรมระดับพื้นที่ เช่น เกษตรอินทรีย์ อาหาร ท่องเที่ยวชุมชน ผลิตภัณฑ์ชุมชน และ creative economy ฯลฯการพัฒนาทักษะอาชีพที่จำเป็น มุ่งเน้นกลุ่มแรงงานตกงาน แรงงานคืนถิ่น นักศึกษาจบใหม่หรือที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยใช้กลไก Reskill Upskill และ New skill platform เพื่อยกระดับทักษะคนตกงานให้เข้าสู่งานใหม่หรือยกระดับงานเดิม เช่น ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ ด้านการเพิ่มผลิตผลทางการเกษตร ด้านการตลาดดิจิทัล ด้านแพทย์แผนไทยโบราณ ด้านการให้บริการสุขภาพ และการสนับสนุน SME สร้างนวัตกรรมเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยใช้กลไกการอุดหนุนธุรกิจขนาดเล็กสร้างนวัตกรรมและยกระดับเทคโนโลยี และการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นโจทย์สำคัญของประเทศ เช่น ระบบ screening, tracing, tracking, surveillance system (STTS) เพื่อติดตามนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งจะช่วยให้สามารถติดตามกลุ่มเสี่ยงในกรณีพบผู้ติดเชื้อและควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาที่ได้จัดทำขึ้นฉบับนี้ จะนำไปใช้ประกอบการจัดทำข้อเสนอนโยบายและเสนอมาตรการ อววน. เพื่อให้สามารถตอบโจทย์รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกหลังวิกฤตการณ์โควิด-19ในระยะยาวต่อไป” ดร. กิติพงค์ กล่าว

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO