อว.- สธ.-วิศวะมหิดล เปิดตัวนวัตกรรม “ระบบจัดการเวชภัณฑ์ประเทศไทย 2020” ยกระดับสาธารณสุขในวิถีใหม่ New Normal หลังโควิด-19

อังคาร ๐๙ มิถุนายน ๒๐๒๐ ๑๔:๐๐
พลิกวิกฤติโควิด-19 เป็นโอกาสเปลี่ยนผ่านและยกระดับระบบสาธารณสุข New Normal ของประเทศไทยโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผนึกความร่วมมือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย ดิสทริบิวชั่น จำกัด สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พลิกวิกฤติจากโควิด-19 พัฒนาและเปิดใช้นวัตกรรมแพลตฟอร์ม “ระบบจัดการเวชภัณฑ์ประเทศไทย 2020” เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์และการบริหารสินค้าคงคลังที่ขาดสมดุล ทำให้สามารถบริหารการจัดซื้อ-รับ- กระจายเวชภัณฑ์ และโลจิสติกส์ขนส่งอย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งการบริจาคอัจฉริยะ (Smart Donation) และระบบจัดซื้อกลาง โดยนำมาใช้แล้วในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สำหรับโรงพยาบาลทั่วประเทศกว่า 2,641 แห่ง

นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ตระหนักถึงผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์ ซึ่งต้องจัดเตรียมเวชภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพรองรับการระบาดและภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทำให้ต้องบริหารจัดการเวชภัณฑ์ของ รพ. ทั่วประเทศกว่า 2,641 แห่ง จัดการสินค้าคงคลังเชื่อมโยงครบวงจรตั้งแต่จับคู่ข้อมูลความต้องการ (Demand) กับการจัดซื้อและการผลิต (Supplies) ที่มีประสิทธิภาพ การขนส่งและกระจายเวชภัณฑ์ที่ใช้ตรงกับสต๊อกและทั่วถึง นำไปสู่การจัดทำ “ระบบจัดการเวชภัณฑ์ประเทศไทย 2020” (Smart Medical Supply Platform 2020) เป็นระบบกลางของประเทศเป็นครั้งแรก

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า อว. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลมหาวิทยาลัย รวมทั้งส่งเสริม สนับสนุน และขับเคลื่อนการวิจัยและนวัตกรรมโดยเฉพาะงานวิจัยที่สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศให้สามารถใช้ประโยชน์ ได้จริง ซึ่งระบบจัดการเวชภัณฑ์ประเทศไทย 2020 ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยที่พัฒนาระบบบริหารจัดการเวชภัณฑ์แบบออนไลน์ เพื่อให้โรงพยาบาลได้รับเวชภัณฑ์ตรงตามความต้องการทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพได้

ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. เป็นหน่วยงานให้ทุนวิจัยและนวัตกรรมหลักของประเทศ สนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมที่ช่วยพัฒนาประเทศ และแก้ปัญหาที่สำคัญทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวโดยงานวิจัยต้องใช้ประโยชน์ได้จริงและตรงตาม ความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์ ซึ่งได้สนับสนุนโครงการ “ระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์เวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาเพื่อรองรับสถานการณ์ COVID-19” เพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหาการบริหารจัดการเวชภัณฑ์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เกิดความสมดุลและเป็นไปตามความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้พัฒนาเสร็จแล้วและได้นำไปใช้บริหารจัดการสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ในปัจจุบันและเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ในอนาคต

รองศาสตราจารย์ ดร.ดวงพรรณ กริชชาญชัย หัวหน้าศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสุขภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า หลักการทำงานของ “ระบบจัดการเวชภัณฑ์ประเทศไทย 2020” เริ่มจากการรับข้อมูลรายการสินค้าที่ได้รับการจัดสรรจากส่วนกลางหรือของบริจาคเข้ามาหน้าเว็บไซต์ตามรายการสินค้า ในระบบฐานข้อมูล การจัดสรรมีหลักการพิจารณาจากความต้องการเร่งด่วนและปัจจัยต่างๆ ของการระบาด และสถานการณ์ของโรงพยาบาล จากนั้นข้อมูลจะไหลเข้าระบบสต๊อก หรือสินค้าคงคลังเสมือน (Virtual Stock) โดยจะวิเคราะห์และจัดสรรให้ตรงกับความต้องการของฝั่งโรงพยาบาลโดยการจับคู่ (Match) จากจำนวนผู้ป่วย จำนวนบุคลากร ทางการแพทย์ ปริมาณที่มีอยู่ อัตราการใช้ และระดับความรุนแรง เป็นต้น โดยสามารถระบุได้ว่าต้องจัดสรรอะไร กระจายไปที่ใดและจำนวนเท่าไร เพื่อส่งต่อไปที่ระบบขนส่งแล้วกระจายเวชภัณฑ์ดังกล่าวต่อไป

นายพีระ อุดมกิจสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทรีบิวชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัท ไปรษณีย์ไทย ดิสทรีบิวชั่น จำกัด เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เข้าร่วมการพัฒนาแพลตฟอร์มระบบบริหารโลจิสติกส์เวชภัณฑ์ โดยสนับสนุนข้อมูลและดำเนินงานด้านการขนส่งโลจิสติกส์ ซึ่งบริษัทไปรษณีย์ไทยมีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกระจายและขนส่งเวชภัณฑ์ไปยังโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุด

นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวสรุปถึงประโยชน์ของ “ระบบบริหารจัดการเวชภัณฑ์ประเทศไทย 2020” ทำให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลกลางด้านสาธารณสุขสำหรับสินค้าเวชภัณฑ์ สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์และตอบโต้สถานการณ์โรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการใช้ จำนวนสต๊อกของเวชภัณฑ์ การคาดคะเนปริมาณความต้องการในอนาคตได้ ด้านกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานภาครัฐสามารถประหยัดต้นทุน สร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการการกระจายเวชภัณฑ์ด้วยระบบ Matching บนสถานการณ์และข้อมูลที่แท้จริง สำหรับโรงพยาบาลทั่วประเทศ จะได้รับสินค้าตรงตามต้องการจริงในเวลาที่รวดเร็ว ลดภาระต้นทุนในการมีสต๊อกเวชภัณฑ์ที่ขาดหรือเกินความต้องการ ด้านผู้จัดหาผลิตภัณฑ์สามารถวางแผนบริหารจัดการการผลิตเวชภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม ไม่ต้องขนส่งสินค้าเข้ามาที่ส่วนกลางสามารถกระจายสินค้าไปยังโรงพยาบาลที่ต้องการโดยตรงได้ทันที ส่วนผู้บริจาคสามารถบริจาคเวชภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการของโรงพยาบาลและจำนวนที่ใช้จริง

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ