WWF ขอชาวโลกเร่งฟื้นธรรมชาติ เตือนขจัด 3 ปัจจัยเสี่ยงก่อนเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่อีกครั้ง

พุธ ๑๗ มิถุนายน ๒๐๒๐ ๑๓:๔๑
ในขณะที่โลกยังคงต่อสู้กับผลกระทบของวิกฤตการโรคระบาดโคโรนาไวรัส องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล เรียกร้องให้ทั่วโลกมีการลงมือ และจัดการกับปัจจัยเสี่ยงที่เป็นต้นตอของการเกิดโรคระบาดจากสัตว์สู่คน

ในรายงานฉบับล่าสุด “โควิด-19: ประกาศฉุกเฉินเพื่อมวลมนุษย์และธรรมชาติ” WWF กล่าวว่าปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดโรคระบาดจากคนสู่สัตว์ ได้แก่ การค้าและการบริโภคสัตว์ป่าที่มีความเสี่ยงสูง กิจกรรมการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land use) ที่นำไปสู่การตัดไม้ทำลายป่าและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ที่ดิน การขยายตัวของเกษตรกรรมและการเพิ่มขึ้นของการทำกสิกรรมที่ไม่ยั่งยืน รวมถึงการทำปศุสัตว์ มีคำเตือนมากมายจากนักวิทยาศาสตร์และองค์กรผู้นำทางความคิด อย่าง World Economic Forum (WEF) ที่ได้พูดถึงเรื่องความเสี่ยงของโรคระบาดทั่วโลกนี้ โดย WEF ได้จัดให้ โรคระบาด และ โรคติดต่อ เป็นหนึ่งในเรื่องเสี่ยงอันดับต้นๆของโลกมามากกว่าสิบปี เป็นภัยอันตรายต่อชีวิตมนุษยชาติ

นายมาร์โค แลมเบอร์ทินี ผู้อำนวยการใหญ่ของ WWF-International ระบุว่า “พวกเราต้องรู้ให้เท่าทันและทำความเข้าใจถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างการทำลายธรรมชาติ กับสุขภาพของมนุษย์ ไม่เช่นนั้นเราจะได้เห็นการระบาดระดับโลกครั้งต่อไปเร็วๆนี้ พวกเราจะต้องควบคุมการค้าที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง และการบริโภคสัตว์ป่า หยุดการทำลายป่าและการเปลี่ยนแปลงประโยชน์ที่ดิน และจัดการการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน การกระทำทั้งหมดนี้จะช่วยป้องกันแพร่กระจายของเชื้อโรค และยังช่วยจัดการกับความเสี่ยงอื่นๆที่มีผลต่อโลก เช่น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ก็แสดงให้เห็นว่ามนุษย์นั้นต้องทำงานกับธรรมชาติ ไม่ใช่เอาเปรียบธรรมชาติ การใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืนจะกลายเป็นความเสี่ยงอันใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติ”

ปัจจุบันยังคงมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของโรคระบาดโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ แต่จากหลักฐานที่มีทั้งหมดคาดว่าเป็นโรคที่ติดเชื้อจากสัตว์สู่คน รัฐบาลของประเทศจีนประกาศห้ามการบริโภคสัตว์ป่าตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ซึ่ง WWF สนับสนุนข้อห้ามนี้ และขณะนี้สภาประชาชนแห่งชาติจีน (National People’s Congress : NPC) ก็กำลังสนับสนุนการแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่ในรื่องการคุ้มครองสัตว์ป่า ซึ่งถ้าหากดำเนินการจริง ก็จะทำให้ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าที่แข็งแกร่งและเข้มงวดที่สุดในโลก

อย่างไรก็ตามเพียงการจัดการกับการค้าสัตว์ป่า และการบริโภคสัตว์ป่านั้น อาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันการกลับมาของโรคระบาดระลอกใหม่ ระบบการผลิตอาหารทั่วโลกเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่มีนัยยะสำคัญต่อการแปลงพื้นที่การเกษตรตามธรรมชาติ รุกรานระบบนิเวศธรรมชาติ สร้างการเปลี่ยนแปลงของปฏิสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ป่า ปศุสัตว์ และมนุษย์ ข้อมูลวิจัยระบุว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 ป่าไม้กว่า 178 ล้านเฮคเตอร์ในโลกถูกทำลายไป ซึ่งเทียบเท่ากับขนาดของประเทศลิเบีย ที่ถือว่าเป็นประเทศมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 18 ของโลก และทุกๆ ปีมีรายงานว่าป่าถูกทำลายไปมากกว่า 10 ล้านเฮคเตอร์ของป่าไม้ จากการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ทำเกษตรกรรม และการใช้สอยอื่นๆ

และตัวอย่างโศกนาฏกรรมที่ทุกคนกำลังได้เห็นในปัจจุบันคือ ในประเทศบราซิล ที่กำลังเผชิญปัญหาตัดไม้ทำลายป่า จากการที่รัฐบาลลดการบังคับใช้ข้อกฎหมายต่างๆ ส่งผลให้ตัวเลขการทำลายป่าเพิ่มขึ้นอีก 64% ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเมือเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

วิกฤตการณ์ Covid-19 แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงด้านระบบวิธีคิดของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นเพื่อจัดการกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่จะนำไปสู่การเกิดโรคระบาด WWF ได้สนับสนุนโครงการ 'One Health’ ที่เชื่อมโยงสุขภาพของคน สัตว์และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆใช้ร่วมกัน โดยมุ่งเน้นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย และวิธีคิดเช่นนี้ควรรวมอยู่ในการติดสินใจทางธุรกิจ และการจัดหาเงินทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรของโลก

“ท่ามกลางโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ก็ยังมีโอกาสที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ของเรากับธรรมชาติ และช่วยบรรเทาความเสี่ยงในการเกิดโรคระบาดในอนาคต แต่อนาคตที่ดีกว่าเริ่มต้นได้จากการตัดสินใจของรัฐบาล องค์กร และผู้คนบนโลกทุกวันนี้” แลมเบอร์ทินีกล่าว “ผู้นำระดับโลกจะต้องจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างโลกของเรากับโลกของธรรมชาติ พวกเราต้องการพันธะสัญญาใหม่ของธรรมชาติ (New Deal for Nature and People) ที่จะช่วยให้ธรรมชาติเดินทางสู่เส้นทางในการฟื้นฟูภายในปี พ.ศ.2573 เพื่อปกป้องสุขภาพมนุษย์ และการดำรงชีวิตในระยะยาว”

WWF เน้นย้ำถึงการประชุมความความหลากหลายทางชีวภาพของสหประชาชาติ (UN Biodiversity Summit) ที่กำลังจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 22-23 กันยายน 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับผู้นำระดับโลกที่จะระดมความคิดและวางแนวทางการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ก่อนจะนำไปสู่การเริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2564 การตัดสินใจเหล่านี้เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับผู้คนและโลกในวันนี้และในอนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ