นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (VNG) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ในวันที่ 17 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 223,858,125 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 1,567,006,876 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 1,790,865,001 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 223,858,125 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) และในอัตรา 7 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน (เศษของหุ้นให้ปัดทิ้ง) ในราคาเสนอขายหุ้นละ 3.75 บาท รวมมูลค่า 839,467,969 บาท ทั้งนี้ กำหนดวันจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนและรับชำระเงินในระหว่างวันที่ 14-20 ก.ค. 2563 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (XR) วันที่ 24 มิ.ย. 2563
สำหรับวัตถุประสงค์ในการเพิ่มทุนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง และศักยภาพในการแข่งขันให้แก่บริษัท ทั้งในด้านการดำเนินงานและด้านเงินทุน โดยบริษัทมีแผนที่จะไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาภาวะสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา กับ ประเทศจีน และสภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มถดถอยลง ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา
การเพิ่มทุนครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทฯมีเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอในการประกอบธุรกิจได้อย่างราบรื่นเป็นไปตามแผนการณ์ลดความเสี่ยงในการหยุดชะงักของความต่อเนื่องในการดำเนินงานของบริษัทซึ่งเกิดจากเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความพร้อม สำหรับการดำเนินการตามแผนการลงทุน แผนธุรกิจและแผนการดำเนินงานของบริษัทและที่สำคัญเงินทุนหมุนเวียนดังกล่าวจะช่วยให้ผลประกอบการของบริษัทได้กลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้นตามแผนของบริษัท และนำไปสู่การเสริมสร้างรายได้และกำไรให้แก่บริษัท และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
กรรมการผู้จัดการ VNG กล่าวอีกว่า ในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้รับการยืนยันว่าพร้อมซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วน แม้ราคาขายหุ้นเพิ่มทุนจะสูงกว่าราคาในกระดานก็ตาม เนื่องจากบริษัทจะต้องเตรียมพร้อมในเรื่องของฐานะทางการเงินให้มีความแข็งแกร่งเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากสถานการณ์ต่างๆเริ่มคลี่คลาย จากแผนดำเนินธุรกิจในระยะปานกลาง-ยาวที่บริษัทเตรียมเพิ่มสัดส่วนรายได้จากในประเทศต่อต่างประเทศเป็น 50 : 50 เพื่อลดความเสี่ยงธุรกิจ โดยการพัฒนาตลาดสินค้าสำเร็จผ่านโมเดิร์นเทรดวู้ดสมิตร ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ผ่านการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวล และโซลาร์รูปท็อป จะเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ กลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น