หน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินทั่วโลกได้ใช้มาตรการเชิงรุกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัส โดยมีการประกาศใช้มาตรการการจำกัดการจ่ายเงินปันผลของธนาคารพาณิชย์ในลักษณะที่คล้ายกันใน ออสเตรเลีย ประเทศในกลุ่มยูโรโซน อินเดีย เวียดนามและสหราชอาณาจักร สำหรับประเทศไทย ธปท.ได้ประกาศให้ธนาคารพาณิชย์งดการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลและงดการซื้อหุ้นคืน และให้ธนาคารพาณิชย์เตรียมแผนการบริหารจัดการเงินกองทุนสำหรับในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า
มาตรการดังกล่าวนั้นสอดคล้องกับนโยบายโดยรวมของ ธปท. ซึ่งจะช่วยรักษาความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและกระตุ้นกิจกรรมทางธุรกิจ มาตรการดังกล่าวยังจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์รักษาเงินกองทุน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่จำเป็นในการสนับสนุนการขยายสินเชื่อและรองรับหนี้เสียในช่วงที่เศรษฐกิจต้องเผชิญกับหลายปัจจัยเสี่ยง
อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ ของภาคธนาคารพาณิชย์ไทยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 15.8% ณ เดือนเมษายน 2563 ฟิทช์มองว่าเงินกองทุนเป็นจุดแข็งสำหรับธนาคารพาณิชย์ไทยส่วนใหญ่ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยฟิทช์ ซึ่งสะท้อนได้จากระดับการประเมินความแข็งแกร่งด้านฐานะเงินกองทุนของธนาคารส่วนใหญ่ ที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคาร (หรือ Viability Rating)
ทั้งนี้ฟิทช์ได้ปรับการประเมินด้านสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานของภาคการธนาคารพาณิชย์ไทยเป็น 'bbb’ จากเดิม 'bbb+’ เมื่อเดือนเมษายน 2563 เนื่องจากฟิทช์คาดว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพสินทรัพย์และผลกำไรของธนาคารในอีก 2 ปีข้างหน้า (สามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน "Coronavirus Outbreak Increases Challenges for Thai Banks’ Operating Environment" ลงวันที่ 2 เมษายน 2563) อย่างไรก็ตามฟิทช์ยังคงคาดว่าเงินกองทุนของธนาคารจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง (ตามสมมติฐานกรณีพื้นฐานของฟิทช์) แม้ต้องเผชิญความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้มาตรฐานบัญชี TFRS9