เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินผลกระทบที่มีต่อนโยบายใหม่ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกคำสั่ง ธนาคารพาณิชย์งดปันผลซื้อคืนหุ้น

อังคาร ๒๓ มิถุนายน ๒๐๒๐ ๑๔:๒๘
นายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่าผลกระทบที่มีต่อนโยบายใหม่ จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกคำสั่ง ธนาคารพาณิชย์งดปันผลซื้อคืนหุ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกคำสั่งขอให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งในไทย จัดทำแผนบริหารจัดการเงินกองทุนในระยะเวลา 1-3 ปี พร้อมกับงดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานปี 2563 และห้ามซื้อหุ้นคืนหรือไถ่ถอนตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 หรือชั้นที่ 2 ก่อนครบกำหนด

การออกมาตรการเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์รักษาระดับเงินกองทุนให้เข้มแข็งและควบคุมให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น สะท้อนมุมของ ธปท. ที่ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังแย่กว่าที่คาดไว้ บวกกับมีความกังวลต่อผลของมาตรการต่างๆที่มีออกมาเพื่อช่วยเหลือเยียวยาลูกหนี้ช่วงก่อนหน้านี้ อาจส่งผลกระทบต่อสถานะเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งประเมินว่าผลจากมาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ กดดัน Sentiment ตลาดหุ้นไทยในภาพรวม จากการส่งสัญญาณของ ธปท.สะท้อนมุมมองที่เปลี่ยนไปในเชิงลบต่อธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภาวะเศรษฐกิจ บวกกับการเข้าแทรกแซงของผู้กำหนดนโยบายที่เป็นปัจจัยลบที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ กระทบเชิงลบมากกว่าต่อธนาคารพาณิชย์ที่จ่ายปันผลระหว่างกาล โดยปกติธนาคารพาณิชย์ ที่มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ได้แก่ BAY BBL KBANK KKP SCB (ส่วน TCAP ที่ถือหุ้น TMBThanachat ที่ 20.4% หลังควบรวมระหว่าง TMB และ TBANK ไม่อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท.) โดยคาดว่าปันผลระหว่างกาลที่จะหายไปรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 1.43 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลในปี 2563 สำหรับ SET Banking ลดลงประมาณ 1.15% และสำหรับ SET ลดลงเล็กน้อยประมาณ 0.1%

อีกทั้งยังอาจเกิด Sector Rotation สู่หุ้นขนาดใหญ่/ปันผลสูงกลุ่มอื่นแทน ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารฯ ปัจจุบัน (19 มิ.ย.) ปิดที่ 304.21 จุด ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ 235.81 จุด ประมาณ 29% ถือเป็นจุดที่นักลงทุนบางกลุ่มมีกำไรซึ่งพบว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามา ในช่วงเวลาดังกล่าวมาจากนักลงทุนสถาบันฯ ซื้อสุทธิ 5.8 หมื่นล้านบาท และโดยส่วนใหญ่คือกองทุนรวมในประเทศที่โดยปกติจำป็นต้องปรับพอร์ทการลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นปันผลเป็นกลุ่มที่มีโอกาสสูงที่จะสลับเข้าซื้อหุ้น High Yield อื่นทดแทนเงินปันผลกลุ่มธนาคารที่หายไป โดยเงื่อนไขที่น่าจะถูกเข้าซื้อคือมีอัตราการจ่ายปันผลระหว่างกาลสูงเทียบเคียงกับระดับ 1.15% ของกลุ่มธนาคารฯและแนวโน้มกำไร 2H63 ฟื้นตัวหรือดีต่อเนื่อง

คำแนะนำในเชิงกลยุทธ์ 1. เลือกลงทุนสลับกลุ่ม : หุ้น Big Cap ปันผลระหว่างกาลสูง แนวโน้มกำไร 2H63 ดี เป้าหมายการสลับกลุ่มเข้าซื้อของนักลงทุนสถาบันฯ เลือก INTUCH, SCC, PTTGC, CPF 2. กลุ่มธนาคาร : เลี่ยงการลงทุน จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในเชิงลบ บวกกับการเข้าแทรกแทรงของ ธปท. ที่จะลดทอนความน่าสนใจในมุมมองนักลงทุนต่างชาติเมื่อเทียบกับภูมิภาค

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๕๗ ทันตแพทย์ ม.พะเยา ลงพื้นที่ดูแลสุขภาพช่องปาก เด็กปากแหว่งเพดานโหว่ เติมรอยยิ้มสดใส ฟันดีทุกวัย
๑๗:๐๐ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 44 ซีพี - ซีพีเอฟ หนุนโครงการต่อเนื่องมุ่งเสริมสร้างโอกาสการศึกษา พัฒนาความคิดและทักษะอาชีพแก่เยาวชนไทยรุ่นใหม่
๑๗:๑๒ สงกรานต์นี้ ฉลองไปกับโรยัล เอ็นฟีลด์
๑๗:๐๗ ' ถอดบทเรียน' พลิกวิกฤต สู่โอกาส เรียนรู้แผ่นดินไหว สู่การจัดการอย่างยั่งยืน กรมอนามัย-สบส.มหิดล-อุบลราชธานี
๑๗:๔๑ ดีพร้อม เปิดโปรเจ็กต์สุดปังหนุนผู้ประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่นสายมูมงคล ดึงวัฒนธรรม ศรัทธา เสริมพลังบวก
๑๗:๔๑ ประกันภัยไทยวิวัฒน์ ประกาศผลผู้ชนะโครงการประกวดภาพศิลปะเด็กและเยาวชนแนวคิด ดื่มไม่ขับ หนุนทักษะศิลปะเยาวชน
๑๗:๐๗ โครงการอบรมและพัฒนาศักยภาพทางการแพทย์ ประจำปี 2568 ให้คำปรึกษาทางการแพทย์แผนกทุยหนาและกระดูก
๑๗:๔๒ CPF เปิดบ้าน จัดงาน 'CP SPLASH IN SPACE' ปลุกพลัง Soft Power ชวนคนไทยฉลองสงกรานต์ เสิร์ฟความมันส์ ทะลุอวกาศบนถนนสีลม
๑๗:๐๐ BSRC จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 มีมติอนุมัติเดินหน้าการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของบริษัท
๑๗:๑๖ Splashing Together ทรู ดีแทค รวมกัน สงกรานต์สนุกขึ้นเยอะเลย