นายจาง เจี้ยนเผิง รองประธานอาวุโสของแซดทีอี เปิดเผยว่า “ สำหรับ 5G SA จะเป็นการสร้างโอกาสมหาศาลให้กับผู้ให้บริการในการพัฒนาธุรกิจ B2C และ B2B แบบบูรณาการในยุคใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับความท้าทายหลายประการ ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนและส่งเสริมการใช้งาน 5G SA ทั้งนี้ZTE ซึ่งเชี่ยวชาญด้านโซลูชั่นend-to-end SA ที่ครอบคลุมทุกการใช้งาน ได้ดำเนินการปรับใช้และตรวจสอบระบบดังกล่าวร่วมกับหุ้นส่วนธุรกิจหลายราย”
ด้านนายฮันส์ เนฟฟ์ CTO แซดทีอี กล่าวต่อไปว่า “ การแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับ 5G SA โดยเชื่อว่าระบบนิเวศ 5G SA จะส่งเสริมการติดตั้งและใช้งานในวงกว้าง แซดทีอีคาดว่าจะช่วยให้ผู้บริการทั่วโลกค้นพบศักยภาพ 5G อย่างเต็มรูปแบบโดยการใช้งานผลิตภัณฑ์ 5G SA ที่ทันสมัย และประสบการณ์ในการสร้างเครือข่ายที่ครอบคลุม ซึ่งในปี 2563 5G SA พร้อมแล้วสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบในเชิงพาณิชย์ทั้งในแง่ของมาตรฐานที่สมบูรณ์แบบ ชิปเซ็ต เครื่องปลายทาง และเครือข่าย ผู้ให้บริการรายใหญ่ทั่วโลกได้ตระหนักถึงศักยภาพและโอกาสอันสดใสของ 5G SA และเริ่มเดินหน้าส่งเสริมวิวัฒนาการการก้าวจาก 5G ไปสู่เครือข่าย SA นั่นเอง ”
ด้านนายหลิว ฮง (Liu Hong) หัวหน้าทีมเทคโนโลยีของจีเอสเอ็มเอ เกรทเทอร์ ไชน่า กล่าวว่า “ จากการคาดการณ์เทรนด์ในเรื่อง 5G SA มองว่าการพัฒนา 5Gจะยังดำเนินต่อไปและแข็งแกร่งมากขึ้น การริเริ่ม 5G SA จะเป็นเหตุการณ์สำคัญในกระบวนการพัฒนา 5G
อีกทั้ง นายเว่ย ลีปิง (Wei Leping) ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาอำนวยการด้านเทคโนโลยีของไชน่า เทเลคอม กล่าวเพิ่มเติมว่า “ ด้านความคืบหน้าล่าสุดของระบบนิเวศ 5G SA ไชน่า เทเลคอมเป็นผู้นำในการทดสอบความสามารถในการทำงานร่วมกันและการตรวจสอบการทำงานของระบบแบบครบวงจรของSA ด้วยการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากคลาวด์-เน็ตเวิร์ค-เอจ ไชน่า เทเลคอม ได้เร่งผลักดันการใช้งานในอุตสาหกรรมแนวดิ่ง ซึ่งเป็นการโปรโมท 5G SA เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแนวดิ่ง โดยไชน่า เทเลคอมมุ่งมั่นในการนำ 5G SAไปใช้ในอุตสาหกรรมที่เน้นเรื่องคุณภาพสูง โดยมุ่งเป้าที่อุตสาหกรรม การขนส่ง สื่อ การดูแลสุขภาพ และการศึกษา เป็นต้น
นอกจากนี้นางสาวหวง หยู่หง (Huang Yuhong ) รองประธานสถาบันวิจัยไชน่าโมบายล์ ของไชน่าโมบายล์ กล่าวเสริมว่า “ สถาบันวิจัยไชน่าโมบายล์ มีเป้าหมายการพัฒนาSA ได้สร้างเครือข่ายบีทูบีและบีทูซีแยกจากกันเพื่อการบรรจบกันของ 4G และ 5G ซึ่งไชน่า โมบายล์มีเป้าหมายพัฒนาเครือข่าย 5G SA ที่ล้ำสมัยและขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยการประสานคลื่นความถี่ 700M, 2.6G และ 4.9 GHz และการเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อ รวมทั้งการใช้คลื่นความถี่ 4.9G ในภาคอุตสาหกรรม”