นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า เมื่อปีก่อนบริษัทได้ทำการประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของโครงการคอนแทร็คฟาร์มมิ่งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนตามหลักการสากล โดยใช้วิธี Impact Valuation ที่จะตีมูลค่าผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบของโครงการออกมาเป็นมูลค่าเงิน ต่อมาในปี 2562 เกษตรกรในโครงการคอนแทร็คฟาร์มมิ่งของบริษัทมีจำนวนเพิ่มขึ้น 230 ราย จึงปรับปรุงวิธีการคำนวณให้ดีขึ้นจากครั้งก่อน โดยได้ผลประเมินมูลค่าที่แท้จริง (True Value) ถึงกว่า 390 ล้านบาท
ทั้งนี้ การประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจของโครงการคอนแทร็คฟาร์มมิ่งนั้น พบว่าเกษตรกรมีรายได้ในปีที่ผ่านมาถึงกว่า 108 ล้านบาท สามารถลดสัดส่วนเกษตรกรที่มีค่าครองชีพต่ำกว่าเส้นความยากจนลงจาก 40% เหลือ 0% ส่วนในด้านสังคมพบว่า เกษตรกร85% มีความสามารถส่งบุตรหลานให้ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นกว่าการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตลอดจนมีเวลาว่างอยู่กับลูกและครอบครัวมากขึ้น 2.4 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปถึงการลดปัญหาสังคมอันเนื่องมาจากปัญหายาเสพติดในเยาวชน
นอกจากนี้ การที่ฟาร์มสุกรของเกษตรกรซีพีเอฟทุกแห่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผ่านการทำประชาคมจากชุมชน โดยที่ตั้งฟาร์มต้องอยู่ในบริเวณที่มีแหล่งน้ำธรรมชาติเพียงพอเพื่อไม่สร้างผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ ตลอดจนมีการติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ(Biogas) เพื่อบำบัดมูลสุกรและน้ำใช้ภายในฟาร์ม จึงช่วยลดปัญหากลิ่นและลดก๊าซมีเทนที่ออกสู่ชั้นบรรยากาศ รวมถึงมีการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วไปมอบให้ชาวสวนชาวไร่ใช้รดพืชผล เป็นปุ๋ยชั้นดีให้กับพืชไร่ต่างๆ ทำให้ฟาร์มอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างมีความสุข สิ่งเหล่านี้ทำให้ผลการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมพบว่า แม้การใช้ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงในการเลี้ยงสุกรจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในด้านก๊าซเรือนกระจกบ้าง แต่ฟาร์มเกือบทั้งหมดของเกษตรกรซีพีเอฟมีการทำระบบไบโอแก๊ส ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณร่วมกันแล้ว พบว่าช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงกว่า 168,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
กล่าวโดยสรุป เมื่อนำผลกระทบต่อเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม มาคำนวณเป็นมูลค่าเงินตามหลักการสากลพบว่า Contract Farming’s True Value มีมูลค่าเป็นบวกและมีค่าสูงถึง 392,206,715 บาท/ปี
“การส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสุกรขุนแก่เกษตรกรรายย่อยด้วยระบบคอนแทร็คฟาร์มมิ่งนี้ สามารถสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอและยั่งยืนแก่เกษตรกรในโครงการ ลดอุปสรรคด้านการเข้าถึงแหล่งทุนของเกษตรกรซึ่งเป็นด่านแรกในการประกอบอาชีพ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนดำเนินโครงการ “ปลดหนี้ สร้างสุข และส่งเสริมการออม” เพื่อให้ความรู้ในการทำบัญชีครัวเรือนและการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพในกลุ่มเกษตรกรด้วย หลังประสบความสำเร็จมาแล้วในกลุ่มพนักงาน ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสังคมได้อีกทางหนึ่ง” นายวุฒิชัยกล่าวทิ้งท้าย
อนึ่ง การประเมินดังกล่าว ใช้หลักการประเมินตามแนวทาง Natural Capital Protocol และ Social Capital Protocol ของสภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (World Business Council for Sustainable Development- WBCSD) ทำการประเมินเกษตรกรคอนแทร็คฟาร์มมิ่ง กลุ่มผู้เลี้ยงสุกรขุนประเภทประกันรายได้ของซีพีเอฟในประเทศไทย ครอบคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก และภาคใต้