นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า “จากวิกฤติไวรัสโควิด-19 ที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ บริษัทฯ มีลูกค้าในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทฯ ต้องพร้อมรับมือในทุกสถานการณ์ รวมถึงวางแผนบริหารจัดการ เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าอย่างดีที่สุด โดยในไตรมาสแรกของปี 2563 รายได้ของบริษัทฯ ยังคงเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ในไตรมาสที่ 2 กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ อย่างธุรกิจเบียร์ มียอดขายลดลง เนื่องจากผลกระทบของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งตอนนี้ก็ได้มีการปลดล็อกมาตรการต่างๆ เพิ่มขึ้น บริษัทฯ คาดว่าจะทำให้ยอดขายกลับมาดีขึ้น โดยในส่วนนี้บริษัทฯ จะต้องคอยติดตามและบริหารจัดการการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างใกล้ชิด”
เมื่อสถานการณ์ต่างๆ เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น บีจีซีจึงเดินหน้าขยายธุรกิจผ่านกลยุทธ์การให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยเน้นการให้บริการใน 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (1)การออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ (2)คุณภาพระดับสากล (3)การให้คำปรึกษากับลูกค้าในทุกโอกาส (4)การจัดเก็บและการจัดส่งสินค้า ควบคู่กับการพัฒนาทีมงานให้มีศักยภาพรอบด้าน เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร รวมถึงมุ่งขยายฐานการส่งออกให้กับลูกค้าที่มีอัตรากำไรดี เช่น กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่มีราคาแพง กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมยา เป็นต้น
นายศิลปรัตน์ กล่าวเสริมว่า “ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯ ยังมองหาโอกาสเติบโตทั้งในธุรกิจใหม่ๆ ต่อยอดจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว และพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทฯ วางเป้าธุรกิจบรรจุภัณฑ์ มุ่งสู่การเป็น 'โทเทิล แพคเกจจิ้ง โซลูชั่น' (Total Packaging Solution) ส่วนธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 300-400 เมกะวัตต์ ภายใน 5 ปี”
นอกจากนี้ บีจีซียังให้ความสำคัญต่อการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจอย่างรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว