นายนาวินกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-GOLD มีนโยบายการลงทุนที่มุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำแท่งในตลาดโลก ซึ่งที่ผ่านมาสามารถทำผลงานได้ใกล้เคียงกับเกณฑ์มาตรฐาน โดยมีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) อยู่ที่ 16.41% ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมีการจ่ายปันผล รวมทั้งสิ้น 19 ครั้ง เป็นเงิน 5.15 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 6.98% ต่อปี
“สำหรับมุมมองต่อตลาดทองคำในระยะนี้ยังมีความน่าสนใจ จากที่ราคาทองคำได้ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 ปี อยู่ที่ระดับ 1,650-1,750 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะ รวมถึงความต้องการเข้าลงทุนในทองคำจากกลุ่มผู้ลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (Exchange Traded Fund: ETF) ที่ยังคงมีการลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าระดับราคาทองคำปรับตัวขึ้นสวนทางกับความต้องการซื้อจากแถบภูมิภาคเอเชียและธนาคารกลางต่างๆ ในอัตราที่ลดลงก็ตาม ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-GOLD เป็นสัดส่วน 5-10% ของพอร์ต เพื่อกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม หากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เริ่มคลี่คลาย รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น อาจทำให้ความน่าสนใจในทองคำลดลงได้” นายนาวินกล่าว
สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจกองทุน K-GOLD สามารถเริ่มต้นลงทุนได้เพียง 500 บาท ผ่าน App K PLUS, K-My Funds, ธนาคารกสิกรไทย หรือ ผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากกองทุนมิได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนจึงอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้