นายศิรัตน์ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่าการลงทุนครั้งนี้ W ได้ใช้เวลาศึกษามาแรมปีจนมั่นใจว่าจะเป็นดีลที่นำไปสู่มิติใหม่ของธุรกิจอาหารของ W ได้ “แม้ว่าการซื้อธุรกิจในครั้งนี้จะใช้เม็ดเงินในการซื้อธุรกิจประมาณ 426 ล้านบาท แต่เราก็ได้ชั่งน้ำหนักแล้วว่าการลงทุนนี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากการได้มาซึ่งสิทธิในแฟรนไชส์ระดับโลกเช่นนี้แทบจะไม่ได้มีให้เห็นในประเทศไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมา และ “Domino’s Pizza” ก็เป็นแบรนด์ที่ใหญ่มาก ถ้าจะพูดให้เห็นภาพคือถ้าเทียบจำนวนสาขาแฟรนไชส์เฉพาะนอกสหรัฐอเมริกา ของ Starbucks และ Domino’s Pizza พบว่ามีไซส์ที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้น ดีลนี้อาจเป็น “Once in a life time” ของเราเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้การซื้อธุรกิจในครั้งนี้เราจะได้ ร้านพิซซ่าที่พร้อมบริหารได้เลยทันที 27 สาขา พร้อมทั้งครัวกลาง รวมถึงได้รับการสนับสนุนจาก DPI ทั้งเรื่อง Know how การพัฒนาธุรกิจ รวมถึงระบบ IT และ Call Center ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันกับร้าน “Domino’s Pizza” ทั่วโลก เราจึงมั่นใจว่าการจะเดินไปสู่ความสำเร็จของเราเป็นไปได้สูง เช่นเดียวกับผู้รับสิทธิในการทำธุรกิจนี้จาก DPI ในหลายๆ ประเทศที่สามารถสร้างธุรกิจจนมีมูลค่าเป็นหมื่นล้านได้”
ส่วนประเด็นเรื่องเงื่อนไขการซื้อขายกิจการที่ W ทำกับผู้ขายไม่เป็นธรรมนั้น นายศิรัตน์เผยว่า เงื่อนไขดังกล่าวได้ผ่านการเจรจามาอย่างยาวนานและบริษัทได้ใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดในการเจรจาจนได้มาซึ่งเงื่อนไขตามที่ได้เปิดเผยต่อผู้ถือหุ้นแล้ว และเป็นเงื่อนไขสุดท้ายที่ผู้ขายจะยินยอมสำหรับการขายธุรกิจครั้งนี้ มากไปกว่านั้น W ก็ไม่ใช่เจ้าเดียวที่สนใจซื้อธุรกิจนี้จากผู้ขายอีกด้วย
สำหรับประเด็นที่ว่ากิจการจะมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนในช่วงแรกของการลงทุนและจะเริ่มเห็นกำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) หลังปีที่ 5 ของการเข้าลงทุน นั้น นายศิรัตน์ได้กล่าวว่า “เราทราบดีในเรื่องผลขาดทุนในระยะแรกของการลงทุน และเรามีการเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องเม็ดเงินที่ต้องใช้ และแผนพัฒนาธุรกิจเพื่อรองรับผลขาดทุนและพลิกฟื้นกิจการให้มีผลกำไรโดยเร็ว โดยจากการคาดการณ์ของเรา ถ้าพิจารณาในมุมกระแสเงินสด (EBITDA) จะพบว่า EBITDA ของกิจการจะเริ่มเป็นบวกในปี 2565 หรือใช้เวลาเพียง 3 ปี หลังการเข้าลงทุนเท่านั้น”
นายศิรัตน์ได้ปิดท้ายถึงความมั่นใจว่า W ได้เดินมาถูกทางในธุรกิจอาหาร โดยแม้ว่าช่วงปัจจุบันที่หลายๆ คนมองว่าเป็นช่วงซบเซาของแทบทุกธุรกิจเนื่องจากผลกระทบจากโรคโควิด 19 แต่ปรากฎว่าในเดือนที่ผ่านมาร้านอาหารแทบทุกร้านของกลุ่ม W กลับมีผลประกอบการที่ดี และหลายๆ ร้านมีผลประกอบการที่ดีกว่าที่เคยทำได้ก่อนช่วงที่โรคโควิด 19 ระบาดด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นผลจากการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาและมีแผนที่จะดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกระจายสาขาและช่องทางจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้นของ Bake Cheese Tart, Zaku Zaku และ Rapl การจัดโปรโมชั่นและพัฒนาเมนูให้ตอบโจทก์ลูกค้ามากยิ่งขึ้นของ Kagonoya และการรักษามาตรฐานการให้บริการที่ดีเยี่ยมของ Le Boeuf, Creps & Co สำหรับการก้าวเข้าสู่ธุรกิจ“Domino’s Pizza” จะเป็นการเสริมทัพความแข็งแกร่งของธุรกิจอาหารของกลุ่ม W อีกด้วย