ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ด้วยโลกบริโภคนิยมในยุคปัจจุบันมีการใช้ทรัพยากรมากเกินความจำเป็น จนเป็นที่น่าวิตกว่าจะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคนรุ่นหลัง เนื่องจากเป็นการใช้ทรัพยากรที่ไม่สมดุล จึงเป็นภารกิจสำคัญเร่งด่วนของสถาบันการศึกษาที่จะต้องปลูกฝัง และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ เพื่อให้เกิดความตระหนักในการใช้ทรัพยากร และเป็นกำลังสำคัญในการช่วยประคับประคองให้โลกนี้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน ซึ่งจากการถ่ายทอดองค์ความรู้ทำให้เกิดการต่อยอดสร้างนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่อไปอีกมากมาย ด้วยบทบาทสำคัญนี้จึงเป็นที่มาของการจัดอันดับสถาบันการศึกษาสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านการดูแลรักษาระบบนิเวศและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้นำแนวคิดเรื่องมหาวิทยาลัยสีเขียว (Green University) หรือ มหาวิทยาลัยเชิงนิเวศ (Eco University) มากำหนดเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนมหาวิทยาลัย โดยเริ่มต้นอย่างจริงจังตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ผ่าน 3 กลยุทธ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร (Resources Efficiency) พันธกิจชุมชนสัมพันธ์ (Community Engagement) และ สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ.2561 ปรับเป็น Low Carbon Technology & Innovation โดยมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการลดก๊าซเรือนกระจก หรือ คาร์บอนฟุตพรินท์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน จากระดับหน่วยงาน สู่ระดับองค์กร เพื่อนำมาประเมิน แล้วมาวิเคราะห์เพื่อการหาแนวทางในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเชิงนิเวศ ใช้ตัวชี้วัด 6 ข้อ ประกอบด้วย สถานที่ตั้งและระบบสาธารณูปโภค (Setting and Infrastructure) การจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Energy and Climate Change) การจัดการขยะ (Waste Management) การใช้น้ำ (Water Management) การจัดการระบบขนส่ง (Transportation) และ การศึกษา (Education for Green) โดยมหาวิทยาลัยมหิดลได้กำหนดให้ส่วนงานจะต้องผ่านเป้าหมาย ร้อยละ 70 แต่ปัจจุบันสามารถทำได้จนบรรลุเป้าหมายถึงประมาณร้อยละ 80 – 90 สำหรับการลดก๊าซเรือนกระจก ในปีนี้ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 25 โดยได้ริเริ่มโครงการผู้บริหารคาร์บอนต่ำ ซึ่งมีเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการประเมินกิจกรรมส่วนบุคคลของผู้บริหาร ทั้งในระดับส่วนงาน และระดับมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมดคิดเป็นปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 211.02 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และได้ทำการชดเชย 219 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยให้บุคลากรและหน่วยงานสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปใช้เป็นตัวอย่างให้แก่สถาบันอื่นๆ ตลอดจนขยายผลสู่ระดับประเทศได้
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนภายในประเทศ ขยายผลเชื่อมโยงกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อยกระดับสถาบันการศึกษาของประเทศให้เป็นต้นแบบของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตาม 17 เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (17 SDGs) ซึ่งที่ประชุมร่วมสหประชาชาติมองว่าสถาบันอุดมศึกษาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยในอนาคตอันใกล้นี้มหาวิทยาลัยมหิดลจะดำเนินนโยบายหลักเกี่ยวกับเรื่อง 17 SDGs ที่เป็นรูปธรรม และมีเป้าหมายที่จะพัฒนาขึ้นสู่อันดับ 1 ใน 50 มหาวิทยาลัยสีเขียวโลกต่อไป
รองศาสตราจารย์ ดร.กิติกร จามรดุสิต รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเสริมว่า มหาวิทยาลัยมหิดลได้รับเลือกจาก UI GreenMetric เป็น National Host ประจำประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 มหาวิทยาลัยมหิดลได้เป็นเจ้าภาพจัดเสวนาออนไลน์ผ่านระบบ Zoom เรื่อง “Sustainable University Leader towards UI Green Metric World University Rankings” โดยร่วมกับ Universitas Indonesia และ UI Green Metric เพื่อเตรียมความพร้อมภาคีเครือข่ายภายในประเทศให้พัฒนาองค์กรสู่การจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวโลก ตามตัวชี้วัด และหลักเกณฑ์ใหม่ของ UI Green Metric ซึ่งมีกำหนดส่งข้อมูลเพื่อเข้ารับการประเมินสู่การจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวโลกภายในเดือนตุลาคม 2563 นี้
ติดตามรายละเอียดของการจัดกิจกรรมได้ทาง Facebook: MU SDGs