ในส่วนของตลาดทุนพบว่า ปัจจุบันมีบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในกลุ่มธุรกิจการแพทย์รวม 23 บริษัท คิดเป็นมูลค่าทางตลาด 640,000 ล้านบาท หรือ 4.66% ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ ธุรกิจหลักในกลุ่มนี้คือกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล โดยบริษัทที่มีมูลค่าจดทะเบียนสูงสุดคือบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการจำกัด มหาชน หรือ BDMS ที่มีมูลค่าสูงถึง 313,000ล้านบาท (ที่มา:ตลาดหลักทรัพย์ ข้อมูล ณ วันที่ 18 พ.ค. พ.ศ. 2563) กลุ่มธุรกิจนี้มีการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากรูปที่ 1 ที่แสดงจำนวนโรงพยาบาลและเตียงผู้ป่วยมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประเทศไทยมีความได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์เนื่องจากเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ประชากรในประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ สามารถเดินทางเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยได้อย่างสะดวก ในด้านของค่ารักษาพยาบาล จากรูปที่ 2 แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระดับที่ต่ำถึงปานกลาง เมื่อเทียบกับประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพของระบบสาธารณสุขในระดับสูง จึงเป็นสิ่งจูงใจให้ชาวต่างชาติจำนวนมากเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเนื่องด้วยเหตุผลทางการแพทย์และสุขภาพ
สถานการณ์โควิด-19ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจการแพทย์ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องจากจำนวนคนไข้ที่ลดลงตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา คนไทยส่วนมากหลีกเลี่ยงการเดินทางไปโรงพยาบาลถ้าไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรงมากนัก ในขณะที่ผู้ป่วยต่างขาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้ ทำให้รายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่มีอัตราลดลงอย่างมาก ในทางตรงกันข้าม กลุ่มโรงพยาบาลที่มีขนาดเล็กกลับมีรายได้เพิ่มขึ้นจากระบบประกันสังคมอันเนื่องมาจากฐานสมาชิกประกันสังคมที่ใหญ่ขึ้นและมีการปรับเพิ่มอัตราค่าบริการทางการแพทย์ใน ปี พ.ศ. 2563 ให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญาในระบบประกันสังคม เป็น 3,959 บาท/คน/ปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 และยังได้รับอานิสงค์จาก'ประกันสังคม' เพิ่มสิทธิรักษา 'ผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยง-ป่วยโควิด-19’ โดยคณะกรรมการประกันสังคมมีมติเห็นชอบ เรื่องหลักเกณฑ์และอัตราค่าบริการทางการแพทย์กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2563 ที่จะจ่ายค่าบริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนหรือสถานพยาบาลในกลุ่มประกันสังคม เช่น ค่าตรวจห้องปฏิบัติการ ครั้งละ 3,000 บาท, ค่าห้องพักวันละ 2,500บาท และค่ายาต้านไวรัส 7,200 บาท ด้วยเหตุนี้ รายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลที่มีขนาดเล็กในตลาดจดทะเบียนมีอัตราเติบโตสูงขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. 2562 โดยรวมกลุ่มธุรกิจการแพทย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จึงมีรายได้ที่คงที่ ปัจจุบันสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยดีขึ้นมาก มีการคลายล็อคดาวน์ ผู้ป่วยในประเทศได้มีการกลับมารักษาตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 60-70% และมีความเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยจากต่างประเทศจะกลับเข้ามาทันทีหลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาได้ เนื่องจากประเทศไทยมีความสามารถในการจัดการกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดีเยี่ยม เป็นอันดับต้นๆ ของโลก สาธารณสุขไทย เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในสายตาของชาวโลก
ท้ายที่สุดนี้ อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตามองที่สามารถส่งผลให้ธุรกิจในกลุ่มการแพทย์สามารถเพิ่มศักยภาพในการยกระดับทางด้านการปฎิบัติงาน คือ การปรับตัวในยุค Technology Disruption เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพสู่มิติใหม่ๆ แก้ปัญหาข้อจำกัดด้านความเพียงพอและการกระจุกตัวของบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยอานิสงค์ของวิกฤตโควิด-19 (COVID-19) ผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ จำต้องเปิดรับและเรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆเร็วขึ้น ตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ผู้คนเริ่มคุ้นชินกับการปฏิบัติงานทางไกล การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ(Robotics & Automation) ดังนั้น การตรวจรักษา หรือการรับยาจากร้านยาใกล้บ้าน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ของสังคมอีกต่อไป ดังนั้นธุรกิจในกลุ่มการแพทย์จำเป็นต้องศึกษาและพัฒนา ระบบบริการสุขภาพทางไกล (อาทิเช่น Telemedicine หรือ Teleconsultant เป็นต้น) เพื่อเพิ่มการได้เปรียบในการเป็นผู้นำทางการตลาด MediTech ต่อไป การขยายตัวของกลุ่มธุรกิจการแพทย์ส่งผลในเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิเช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติที่เดินทางมารับการรักษา และผู้ติดตามเช่นคนในครอบครัว เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศไทยมากขึ้น อุตสาหกรรมยาง อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมพลาสติก
อุตสาหกรรมเหล็ก เนื่องจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ จำเป็นต้องใช้ส่วนประกอบจากอุตสาหกรรมเหล่านี้ ดังนั้นการที่รัฐบาลไทยกำหนดให้อุตสาหกรรมการแพทย์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ของประเทศ จึงส่งผลดีทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย และอาจจะช่วยต่อลมหายใจให้กับประเทศไทยในยุคโควิด-19 นี้ ดั่งแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ไปต่อได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
บทความนี้เขียนโดย
ศาสตราจารย์ ดร.ศิริมล ตรีพงษ์กรุณา University of Western Australiaรองศาสตราจารย์ ดร.พัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส Sasin School of Managementศาสตราจารย์ ดร. ภรศิษฐ์ จิราภรณ์ Pennsylvania State Universityนางสาว นพรัตน์ วงศ์สินหิรัญ Sasin PhD. candidateนางสาว ณลินี เด่นเลิศชัยกุล Sasin Ph.D. candidate