สำหรับทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง จากสถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องกับลูกค้าโครงการภาคเอกชนที่เป็นลูกค้าหลักของบริษัท โดยโครงการที่จะออกมาในระยะนี้คาดว่าเป็นงานของภาครัฐบาลที่เริ่มทยอยลงทุนโครงการตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและคุณสมบัติของบุคลากรที่ไม่เหมือนกับลูกค้าภาคเอกชน บริษัทจึงเตรียมความพร้อมจัดหาบุคลากรใหม่และพัฒนาศักยภาพของพนักงานเดิม เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มเติมในการรับงานทั้งในโครงการเมกะโปรเจกต์และงานกลุ่ม EEC
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับงานโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐและเอกชนเมื่อปลายปี 2562 ซึ่งเริ่มดำเนินการตามแผนงานก่อสร้างในไตรมาส 2 นี้ อีกทั้งได้รับงานโครงการใหม่จากการขยายสาขาของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ทั้งนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมี Backlog อยู่ที่ 530 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2568
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2563 (บริษัทแจ้งขอผ่อนผันในช่วงประกาศงบไตรมาส 1/63) มีรายได้รวม 107.72 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 130.41 ล้านบาท จำนวน 22.69 ล้านบาท หรือลดลง 17.40 % และมีขาดทุนสุทธิ 8.18 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.89 ล้านบาท จำนวน 20.07 ล้านบาท หรือลดลง 168.80 %
ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่ที่มีอยู่เดิมของบริษัทเริ่มเข้าสู่ช่วงการส่งมอบงาน โดยบริษัทมีค่าใช้จ่ายบริหารเพิ่มขึ้นจากค่าเช่าและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการขยายพื้นที่สำนักงาน ค่าใช้จ่ายในการศึกษาโครงการอสังหาริมทรัพย์ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการเพิ่มพนักงาน นอกจากนี้บริษัทได้บันทึกผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมสินทรัพย์ทางการเงินอื่นจำนวน 4.92 ล้านบาท