นายสมชาย สิริปัญญานนท์ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิคส์สำเร็จรูป ให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer: OEM) เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดี โดยได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 เพียงเล็กน้อยและมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังนโยบายของรัฐบาลและธนาคารกลางในหลายประเทศดำเนินมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับประโยชน์จากผลพวงสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ทำให้มีลูกค้ารายใหม่จาก 2 ประเทศดังกล่าว โยกคำสั่งซื้อใหม่ๆ เข้ามาให้โรงงานในประเทศไทยเป็นผู้ผลิต ทำให้ยอดขายของบริษัทฯ พุ่งขึ้นตั้งแต่ต้นปีนี้และยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถผลิตสินค้าได้อย่างเต็มกำลังการผลิตจากโรงงานในประเทศไทย รวมถึงใช้จุดแข็งด้านฐานการผลิตในภูมิภาคต่างๆ อีก 4 แห่ง ได้แก่ ในประเทศออสเตรเตรีย ฮังการี สาธารณรัฐสโลวัก และกัมพูชา เพื่อตอบสนองความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ให้แก่ลูกค้าภาคอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี
รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ SVI กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงงาน เพื่อพัฒนาคุณภาพและความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ในแต่ละภูมิภาค ได้แก่ ประเทศในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น โดยมุ่งเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์เชิงระบบ (High-End System-Build) ที่มีความซับซ้อนในกระบวนการผลิตสูง รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิต รองรับความต้องการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ในภาคอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น
“แม้ทั่วโลกจะเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่ธุรกิจของเรามีอัตราการเติบโตที่ดี จากความต้องการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ในภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเรามีจุดแข็งด้านความชำนาญในการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิคส์ที่มีความหลากหลายด้วยการใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง และความได้เปรียบเชิงการแข่งขันจากฐานการผลิตที่กระจายในหลายประเทศ และการบริหารซัพพลายเชนด้านการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เรามีขีดความสามารถทางการแข่งขันเหนือคู่แข่ง เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ได้เพิ่มเติม” นายสมชาย กล่าว
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งแรก (มกราคม-มิถุนายน 2563) คาดว่าจะเติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวม 3.39 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 227 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 173% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีตลาดหลัก ได้แก่ ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย รองลงมาได้แก่ ตลาดยุโรปและสหรัฐฯ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้เติบโตได้ดี ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิคส์ที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมและระบบเครือข่ายไร้สายสำหรับการสื่อสาร ได้แก่ ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Industrial Security Camera และระบบที่ใช้สื่อสารผ่านดาวเทียม เพื่อใช้ในเรือเดินสมุทร หรือใช้ในการส่งภาพและเสียงผ่านดาวเทียม รวมถึงผลิตอุปกรณ์ระบบสื่อสารที่ใช้รับข้อมูลผ่านเคเบิลใยแก้วนำแสง ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ โดยมีตลาดสำคัญอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น