นายธีระชัย ธีระรุจินนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) จำกัด (มหาชน) หรือ TPLAS เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม 225.42 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 15.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 15.22 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการใช้ใช้ผลิตภัณฑ์ถุงบรรจุอาหาร ถุงหูหิ้ว และฟิล์มยืดห่อหุ้มอาหาร โดยจะเห็นได้จากช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีปริมาณยอดขายทำ New High ตั้งแต่เปิดบริษัทมา สูงถึง 830 ตัน
ส่วนผลการดำเนินงาน งวดไตรมาส 2/2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม 115.10 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ อยู่ที่ 9.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104.06% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 4.64 ล้านบาท แม้ว่าการแข่งขันทางการตลาดค่อนข้างสูงเมือเทียบกับปีก่อนส่งผลให้ราคาสินค้าเฉลี่ยปรับตัวลดลง
โดยสาเหตุที่ผลการดำเนินงานที่ผ่านมายังคงรักษาระดับการเติบโตไว้ได้อย่างน่าพอใจ หลังจากที่ภาครัฐได้ประกาศคลายล็อกดาน์จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้กลุ่มผู้บริโภคกลับมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น แต่หากพิจารณาด้านมาร์จิ้นของบริษัทฯ สามารถรักษาระดับ Gross Margin ได้ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) (TPLAS) กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลัง 2563 ว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการมุ่งศึกษาด้านการผลิตในกลุ่มบรรจุภัณฑ์กระดาษ ซึ่งคาดว่าจะมีการเพิ่มไลน์การผลิตให้หลากหลายมากขึ้น เช่น จาน ถ้วย หรือแม้แต่กล่องบรรจุอาหารที่มีขนาดที่แตกต่างออกไปมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักรเพิ่มเป็น 2 เครื่อง ซึ่งคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2563 นี้ และหากผลการตอบรับในกลุ่มบรรจุภัณฑ์กระดาษออกมาดี บริษัทฯ จะดำเนินการสั่งเครื่องจักรเข้ามาเพิ่มให้ครบ 4 เครื่องภายในไตรมาส 4/2563 นี้ เพื่อรองรับการขยายตลาดเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีการจำหน่ายเฉพาะในกลุ่มฐานลูกค้าเดิม ซึ่งเฉพาะยอดขายในเดือนกรกฎาคม เพียงเดือนเดียวมียอดขายสูงถึง 500,000 กล่อง ถือเป็นผลตอบรับที่ดี
อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ถุงบรรจุอาหาร ถุงหูหิ้ว และฟิล์มยืดห่อหุ้มอาหาร ยังมีความต้องการใช้อยู่โดยเฉพาะกลุ่มฐานลูกค้าเดิม อาทิ ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว เป็นต้น เพราะเป็นกลุ่มที่มีฐานตลาดกว้างและกระจายไปทั่วประเทศ อีกทั้งยังเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการใช้สูง ซึ่งเชื่อว่าหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเพิ่มขึ้น จะส่งผลเชิงบวกต่อการจับจ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น ดังนั้นจึงมั่นใจว่าการเติบโตของรายได้ในปีนี้ จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน