นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุน ผู้ก่อตั้งCreative Investment Space (CIS)สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ราคาทองคำสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) ได้ในที่สุด ด้วยราคาที่ยืนเหนือ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ถูกจับตามองว่าจะได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่จะสูงขึ้น หลังการพิมพ์เงินออกมาสู่ระบบของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่มีคุณสมบัติคล้ายทองคำ คือบิทคอยน์ มีโอกาสจะปรับขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่เหนือระดับ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ ได้เช่นกัน หลังยังไม่สามารถขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมในปี 2017 ที่ระดับราคา 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) สามารถสร้างรีเทิรน์ได้ถึง 63% ขณะที่ทองคำสร้างผลตอบแทนที่ 32%
ล่าสุดสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้ออกบทวิเคราะห์ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลออกมา โดยระบุว่าค่าความสัมพันธ์ (Correlation) กราฟดัชนีราคาทองคำและราคาบิทคอยน์ ทั้งสองสินทรัพย์ กำลังทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยกราฟแสดงดัชนีราคาทองคำเปรียบเทียบกับดัชนีราคาบิทคอยน์ จะเห็นว่าแนวโน้มดัชนีราคาของสองสินทรัพย์แทบจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน และจากการประเมินของ บลูมเบิร์ก ดัชนีราคาบิทคอยน์มีโอกาสจะแตะระดับ 18,000 ดอลลาร์สหรัฐ หากเคลื่อนไหวตามราคาทองคำที่เริ่มแซงหน้าบิทคอยน์ไปอย่างชัดเจนตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม
ก่อนหน้านี้บลูมเบิร์กยังได้ออกมาวิเคราะห์ ว่าสินทรัพย์ประเภทบิทคอยน์มีสถานะกลายเป็นทองคำดิจิทัล เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีปริมาณอยู่อย่างจำกัด และมีอัตราเฟ้อในระดับต่ำ ปัจจุบันราคาบิทคอยน์ในตลาดมีเสถียรภาพที่ 6 เท่าของราคาทองคำ แสดงว่ามูลค่าของบิทคอยน์ยังต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง
“หาก FED รวมถึงธนาคารกลางอื่นของโลกยังคงอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ จะยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลง โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงกว่า 5% สูงที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งส่งผลดีต่อสินทรัพย์ที่มีความเป็น Store of value หรือสิ่งกักเก็บมูลค่าที่สามารถนำมาใช้ทดแทนเงินได้ นั่นคือทองคำและบิทคอยน์”
นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุนในบิทคอยน์ ด้วยวิธีการแบบ Dollar Cost Average (DCA) หรือการซื้อเฉลี่ยราคาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2017 ที่ราคาขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถึงเวลานี้ยังสามารถทำกำไรได้ 61.8% หรือเฉลี่ยปีละ 20.1% จึงเป็นโอกาสในการลงทุนของนักลงทุนที่นอกเหนือจากการเก็งกำไร
อีกทั้งจำนวนผู้ที่มีบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องรวมถึงจำนวนการทำธุรกรรมก็สูงขึ้น แสดงว่าบิทคอยน์ได้รับการยอมรับจากคนทั้งโลกมากขึ้นในเชิงพื้นฐาน
“คาดว่าบิทคอยน์จะกลายเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นในอนาคตจากการที่นักลงทุนสถาบันเริ่มให้ความสนใจเข้ามาลงทุน การลงทุนในตลาดอนุพันธ์ของบิทคอยน์ ที่มีวอลุ่มมากขึ้นตลอดจนความผันผวนของราคาที่ลดลง กำลังจะบอกเราว่าบิทคอยน์จะกลายเป็นสินทรัพย์ที่เติบโตเป็นวัยหนุ่มแล้ว ไม่ใช่วัยรุ่นที่มีความผันผวนสูงอีกต่อไป แนวโน้มของราคาจึงมีเสถียรภาพมากขึ้น”
นายปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุนรุ่นใหม่กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้บิทคอยน์ น่าสนใจมากขึ้นในเวลานี้ ประเด็นแรก คือตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ไม่มีการกำหนดเพดานซื้อขายเหมือนกระดานหุ้น แต่ตลาดสามารถปรับตัวของมันได้ เราจึงได้เห็นวอลุ่มเทรดในปีนี้เติบโตขึ้นมาชัดกว่าปี 2017 ซึ่งแสดงว่าฐานของตลาดแน่นขึ้น จากจำนวนนักลงทุนที่มากขึ้น สามารถจัดสรรเม็ดเงินขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนได้มากขึ้น และทำให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามมา
ทั้งนี้ หากย้อนหลังไป 2 ปี ถ้าวัดผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาคริปโต Underperform คือแพ้ทั้งดอลลาร์ ทั้งดัชนี ทั้งราคาทอง แต่ล่าสุดหากวัดผลตอบแทนย้อนหลัง 60 วัน บิทคอยน์กลายเป็น Top Performance เบอร์หนึ่งแล้ว เรียกได้ว่าตลาดมี Market Momentum
สุดท้ายความเคลื่อนไหวของกราฟ ในเชิง Relative Value มีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินไม่ใช่แค่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่เป็นทั้งยูโร ทั้งปอนด์ หรือถ้าเทียบกับทองคำถือว่ากราฟสวยไม่แพ้กัน
“โลกการเงินที่รันบนดอลลาร์ มันมีธนาคารกลางเป็นคนคุม ในขณะที่โลกของคริปโตมีซอฟท์แวร์เป็นธนาคารกลางถือว่าน่าสนใจมาก” นายปุณยวีร์กล่าวปิดท้าย