นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT ผู้นำในธุรกิจบริการออกแบบและรับเหมาวางระบบโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/63 (เมษายน – มิถุนายน 2563) มีกำไรสุทธิ 52 ล้านบาท มีความใกล้เคียงกันเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิที่ 78 ล้านบาท และมีรายได้อยู่ที่ 1,188 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่ทำได้ 1,730 ล้านบาท
จากผลการดำเนินงานข้างต้น ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2563) บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,419 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2,994 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 114 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าจุดยืนการเป็นหุ้นในกลุ่มที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอให้กับผู้ถือหุ้นและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาจากงบเฉพาะกิจการและอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2563) ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคม 2563 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 กันยายน 2563
ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AIT กล่าวเสริมว่า แม้ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทฯอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของลูกค้า ที่ทำให้การส่งมอบงานหรือการตรวจรับงาน รวมทั้งการรับชำระเงินมีความล่าช้าออกไป ส่งผลให้ภาพรวมในช่วงครึ่งปีแรกลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ มั่นใจรายได้ในปีนี้จะทำได้ 6,000 ล้านบาท ตามเป้าหมาย โดยปัจจุบันมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2563 อยู่ที่ 6,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้ และที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีถัดไป นอกจากนี้ยังมีงานที่อยู่ระหว่างรอใบคำสั่งซื้อจากลูกค้าอีกจำนวนประมาณ 240 ล้านบาท
“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทฯได้รับผลกระทบเฉพาะเรื่องความล่าช้าในการส่งมอบและตรวจรับงาน รวมทั้งการรับชำระเงิน แต่ไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องการขายโครงการเนื่องจากเป็นงานภาครัฐที่ปกติบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากภาครัฐกว่า 80% ส่วนกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากบริษัทฯสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจากโครงการในปีก่อนๆและได้รับผลกระทบจากมาตรฐานบัญชีใหม่รวม 46 ล้านบาท จึงมีผลต่อกำไรสุทธิค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทฯได้เพิ่มมาตรการลดความเสี่ยงด้านการขายมากขึ้น ซึ่งคาดว่าการสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจะลดลงในอนาคต” นายศิริพงษ์ กล่าว