ดร.ธเนศ วีระศิริ นายก วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวว่า ด้วยอิทธิพลจากพายุซินลากูตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค. 63 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก วาตภัย ดินโคลนถล่ม ดินสไลด์ และถนนถูกตัดขาดในหลายพื้นที่ ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ) ช่วงที่มีผลกระทบสูงสุดในวันที่ 7 ส.ค. 63 รายงานเกิดน้ำป่าไหลหลาก ดินสไลด์ ดินถล่ม ในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน สร้างผลกระทบต่อบ้านเรือนรวมกว่า 22,800 หลังคาเรือน โดยจังหวัดที่ได้รับความเสียหายมาก คือ เชียงราย, ลำปาง, พะเยา, เลย, น่าน, พิษณุโลก เป็นต้น ล่าสุดขณะนี้สถานการณ์น้ำหลายพื้นที่ในประเทศไทยได้เริ่มลดลงแล้ว แต่ประชาชนยังคงมีความกังวลด้านผลกระทบหลังจากน้ำลด โดยเฉพาะความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างบ้านอาคาร ระบบไฟฟ้า ระบบประปา และระบบสาธารณูปโภคที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย รวมถึงถนนทรุดตัวสะพานขาด และดินสไลด์ต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้ วสท.ได้ระดมทีมวิศวกรอาสาลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนหลังน้ำลด ในวันที่ 12 -14 สิงหาคม 2563 ในจังหวัดเชียงรายและน่าน โดยนำทีมวิศวกรอาสาผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเสียหายของอาคาร บ้านเรือน โรงเรียน วัด และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ พร้อมให้คำแนะนำทางด้านวิศวกรรมแก่หน่วยงานราชการและประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและฟื้นฟูให้คืนกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
นายก วสท. กล่าวในตอนท้ายว่า แม้ว่าพายุ “ซินลากู” ได้สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือนประชาชนมากมาย แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้เขื่อนหลายแห่งสามารถกักเก็บน้ำได้เพิ่มมากขึ้นสำหรับใช้ประโยชน์ อาทิ เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 400 ล้านลูกบาศก์เมตร, เขื่อนภูมิพล อำเภอสามเงา จังหวัดตาก ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 214 ล้านลูกบาศก์เมตร, เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จังหวัดพิษณุโลก ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 7 ล้านลูกบาศก์เมตร, เขื่อนกิ่วคอหมา อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 43 ล้านลูกบาศก์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามในช่วงฤดูมรสุม ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ต้องเตรียมตัวรับมือตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศเตือนถึงพายุระลอกใหม่อีก 2 ลูก ระหว่าง 15 ส.ค. - ก.ย. 63 นี้