บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าผลประกอบการได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว ภายหลังการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรและการบริหารงานตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เพื่อการสร้างผลประกอบการที่เป็นบวกโดยเร็วที่สุด รวมทั้งด้วยการหยุดธุรกิจที่ไม่ธุรกิจหลัก (Non-Core Business) และไม่ทำกำไร โดยงบการเงินไตรมาส 2 ของปี 2563 มีผลขาดทุนสุทธิ 163.88 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่เกิดจากการขายธุรกิจโรงไฟฟ้า ประมาณ 149 ล้านบาท โดยมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 18.39 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากขาดทุน 79.34 ล้านบาทในไตรมาส 2 ของปีก่อน
สำหรับผลประกอบการรอบ 6 เดือนของปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 475.93 ล้านบาท ลดลง 23.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากโครงการเสาโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าและโทรคมนาคมลดลง 42% จากการขอเลื่อนการรับสินค้าในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ยังไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ตามยอดผลิตในไตรมาส 2
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ และการขายธุรกิจโรงไฟฟ้าที่จะมีการพิจารณาอนุมัติโดยที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ โดยที่ปรึกษาการเงินอิสระ (IFA) ให้จัดทำรายงานต่อผู้ถือหุ้นและมีความเห็นว่าการขายโรงไฟฟ้านี้มีความเหมาะสม จะส่งผลทำให้บริษัทฯ มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ และสามารถชำระหนี้หุ้นกู้ก่อนกำหนด 300 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้ประมาณ 10 ล้านบาท รวมทั้งสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นจาก 3.38 เหลือ เพียง 1.74 เท่า ทำให้ฐานะการเงินมีความแข็งแกร่ง และมีศักยภาพในการสร้างธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าและโทรคมนาคม ซึ่งจะสนับสนุนความสามารถในการทำกำไรและให้การเติบโตของบริษัทฯได้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร UWC กล่าวว่า นับจากนี้ บริษัทจะเดินหน้าสร้างผลประกอบการให้ดียิ่งขึ้น และเชื่อมั่นว่าจะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคตอันใกล้นี้
ลักษณะธุรกิจ
เป็นผู้ผลิตเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง สถานีไฟฟ้าย่อย ที่ได้รับการรับรองจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ผลิตเสาโทรคมนาคม รวมถึงธุรกิจให้เช่าเสาโทรคมนาคมในต่างประเทศ