โดย W ที่ได้มุ่งเข้าสู่การเป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้าน Food and Beverage ปัจจุบันมีโครงสร้างการประกอบธุรกิจของบริษัทแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการดำเนินการผ่านบริษัท Food Holding ซึ่งบริษัท ดำเนินการแล้วในปัจจุบันประกอบด้วย 1.บริษัท เบค ชีส ทาร์ต (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งทำร้านขนมนำเข้าจากญี่ปุ่นแบรนด์ Bake, Zaku Zaku และ Rapl 2.บริษัท อีสเทิร์นควีซีน (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งทำร้านชาบู Kagonoya และ 3.บริษัท เครปส์ แอนด์ โค. ดีเวล๊อปเม้นท์ จำกัด ซึ่งทำร้าน Crepes and Co. และ Le Boeuf
ด้านส่วนที่สองคือ บริษัท โดมิโน่ เอเชีย แปซิฟิค ซึ่งบริษัทฯ จะใช้ในการลงทุนและดำเนินธุรกิจพิซซ่า QSR ระดับโลก อย่าง “Domino’s Pizza” ซึ่งอยู่ระหว่างการขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ
โดยผู้บริหารได้เผยถึงข้อมูลแต่ละแบรนด์ว่า “สำหรับร้าน Kagonoya ซึ่งเป็น Authentic Japanese taste ชาบู มีต้นกำเนิดมาจากเมืองโอซากะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งการที่เราได้สิทธิแฟรนไชส์มา เราก็พยายามรักษาความเป็นต้นตำรับไว้ โดยเน้นเนื้อที่มีคุณภาพดี และใช้มาตรฐานร้านในระดับเดียวกับประเทศต้นกำเนิด แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาเราจะได้รับผลกระทบจาก Covid-19 อยู่บ้าง แต่ภายหลังการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น การปรับตัวด้วยการทำบุฟเฟต์แบบดิลิเวอรี่ การนำหลักการบริหารจัดการวัตถุดิบแบบครบวงจร และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ ผลปรากฎว่าเราเดินมาถูกทาง เห็นได้จากยอดขายของร้านที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น แม้ในภาวะโควิด”
“สำหรับร้านซึ่งดำเนินการโดย บริษัท เครปส์ แอนด์ โค. ดีเวล๊อปเม้นท์ อย่าง Crepes&Co ซึ่งเป็นร้านเครปสไตล์ฝรั่งเศส แห่งแรกของกรุงเทพ (เปิดบริการในปี 2539) และทำ All Day Breakfast ที่แรกในไทย และเป็นร้านอาหารสไตล์เมดิเตอเรเนี่ยน ที่ได้รับความนิยมในอันดับต้น ๆ ของไทย และร้าน Le Boeuf ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยหลังสวน เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2558 เป็นร้านสเต็กที่มีจุดขายคือเนื้อสัตว์คุณภาพสูงทั้งเนื้อวัว แซลมอน เนื้อแกะ และจุดขายที่สำคัญคือซอส Cafe de Paris ซึ่งเป็นซอสสูตรพิเศษจากเจนีวา มีประวัติความเป็นมาส่งต่อจากรุ่นต่อรุ่นมากว่า 75 ปี ซึ่งเรามองว่าทั้ง Crepes&Co และ Le Boeuf เป็นแบรนด์ที่มีจุดขายเฉพาะตัวและมีเอกลักษณ์สูงมาก และมีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็น Regional Own Brand ในการเปิดสาขาในต่างประเทศได้ สำหรับในไทยเราอยู่ระหว่างการเปิดสาขาใหม่ของร้าน Crepes&Co อีก 2 สาขา ซึ่งกำหนดการคร่าวๆ น่าจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า โดยสาขาที่เปิดใหม่จะเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง นอกจากนี้ในช่วงโควิดที่ผ่านมาเรามีการพัฒนาการทำเมนูอาหารแบบเดลิเวอรี่แต่ความพิถีพิถันยังคงเดิม ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ค่อนข้างดี”
“นอกจากนี้ยังมีร้านขนมจากญี่ปุ่นทั้ง Bake, Zaku Zaku และ Rapl จุดขายคือขนมทุกชิ้นเรานำเข้ามาจากญี่ปุ่น จึงมีความพิถีพิถัน และคุณภาพเหมือนประเทศต้นกำเนิด นอกจากนี้เรามองว่าร้านขนมของเราในกลุ่มนี้มี Platform System ที่มีความ Unique สูง ทั้งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมาก มีระบบการจัดการร้านที่ดี จึงมั่นใจว่าเราสามารถใช้ Platform นี้ในการพัฒนาและต่อยอดร้านขนมสไตล์อื่นๆ ต่อไปได้อีก สำหรับในช่วงโควิด เรามีการปรับกลยุทธ์โดยการปรับราคาสินค้าเพื่อจูงใจผู้บริโภค ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าได้อีกด้วย”
ผู้บริหารยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ธุรกิจ Domino’s Pizza ที่เราอยู่ระหว่างการเข้าลงทุน เป็นแบรนด์พิซซ่าจานด่วนสัญชาติอเมริกา ที่มีจุดเด่นในการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และการให้บริการที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย และเป็นแบรนด์ที่มีความเป็น Neighborhood Restaurant สูงมาก โดย Model ธุรกิจ “DOMINO’S PIZZA” เป็นการดำเนินธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ (franchising QSR pizza) ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ของ W จะเป็นการซื้อกิจการร้านพิซซ่าจากเจ้าของเดิมในประเทศไทย และการเข้าทำสัญญาสิทธิการค้ากับ DOMINO’S PIZZA INTERNATIONAL FRANCHISING INC. หรือ “DPI” เพื่อให้ได้สิทธิในการเปิดร้าน “DOMINO’S PIZZA” แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยเรามองว่าด้วยสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาจับต้องได้ และการได้รับความร่วมมือจาก DPI ในเรื่อง Know how, เทคโนโลยี และประสบการณ์ในการ Turn Around ธุรกิจนี้ในหลายๆ ประเทศ จะเป็น Key Factor ที่ทำให้การลงทุนครั้งนี้เข้าใกล้ความสำเร็จได้อย่างไม่ยาก Domino’s Pizza เป็นร้านพิซซ่าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศสหรัฐอเมริกา มียอดขาย (Global Retail Sales) สูงถึง 14.3 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2562 ได้รับ Market Share ของตลาดพิซซ่า QSR ระดับโลกอยู่ที่ 15% และเป็นแฟรนไชส์พิซซ่า อันดับ 1 ของโลก ฉะนั้นเรามั่นใจว่าจะสามารถผลักดันให้ Domino’s Pizza ได้รับความนิยมสูงขึ้นได้อีกหลายเท่าตัวในประเทศไทย และธุรกิจนี้จะเป็นเรือธงของ W ในอนาคต”