บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (“บริษัท” หรือ “JMT”) เสนอขายหุ้นกู้ อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี และรุ่นอายุ 3 ปี 6 เดือน ดอกเบี้ย 4.40% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 1 แสนบาทสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ และทวีคูณครั้งละ 1 แสนบาท ผู้ที่สนใจสามารถจองซื้อได้ที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โดยจะเสนอขายหุ้นกู้วันที่ 28 และ 31 สิงหาคม และ 1 กันยายน 2563 นี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th
บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ “BBB” แนวโน้ม “Stable” โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563
สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ในการลงทุนเพิ่ม และ/หรือดำเนินการทั่วไปของบริษัท นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) กล่าว่า “บริษัทฯ มองว่าในช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่บริษัทฯ จะซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติม เราพร้อมเป็นพาร์ทเนอร์กับสถาบันการเงินทุกแห่ง ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถบริหารจัดการให้สามารถมีผลประกอบการได้ตามเป้าหมายได้ สามารถทำกำไรรายไตรมาสเป็นสถิติสูงสุด และมีกระแสเงินสดที่จัดเก็บจากลูกหนี้ที่เติบโตกว่าร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนของปีที่แล้ว”
JMT เป็นบริษัทในเครือ เจมาร์ท ซึ่ง JMT ดำเนินธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้สิน และ ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินมาบริหาร โดยปัจจุบันบริษัทมีกองหนี้ด้อยคุณภาพที่อยู่ภายใต้การบริหารมากกว่า 189,000 ล้านบาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้นำในการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพอันดับต้นของประเทศ ที่มีทิศทางผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ มามากกว่า 20 ปี โดยล่าสุด ในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 227 ล้านบาท หรือคิดเป็นการขยายตัวที่ 52% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 762 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการขยายตัวที่ 29% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า โดยบริษัทยังมีแผนเดินหน้าซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง จากการที่หนี้ด้อยคุณภาพในระบบยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น ยังไม่ได้ส่งผลกระทบในการจัดเก็บหนี้ของบริษัท โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 นั้น บริษัทมียอดจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) เท่ากับ 1,699 ล้านบาท หรือเท่ากับอัตราการขยายตัวที่ 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า