นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้คาดว่า ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบรับข่าวความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 นี้ เพราะจากการเก็บสถิติตั้งแต่ปี 2495 พบว่า ในช่วง 2-3 เดือนก่อนวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะซื้อขายด้วยความระมัดระวังและเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบมาโดยตลอด
สำหรับสถานการณ์การเลือกตั้งสหรัฐฯ ในปัจจุบันนั้น พบว่าปัจจุบันคะแนนความนิยมของนายโจ ไบเดน ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตขึ้นนำนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันที่ประมาณ 7 จุด โดยในช่วงเดือนมิถุนายน 2563 คะแนนความนิยมของนายโจ ไบเดน เคยนำนายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นไปทำจุดสูงที่สุดประมาณ 10 จุด ท่ามกลางกระแสการประท้วงต่อต้านการเหยียดสีผิวและความล้มเหลวในการควบคุมการระบาดของโรค COVID-19 ของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม แม้คะแนนนายโจ ไบเดนจะนำนายโดนัลด์ ทรัมป์อยู่ค่อนข้างห่าง แต่ก็ยังไม่สามารถฟันธงหรือไว้วางใจได้ว่านายโจ ไบเดนจะสามารถชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้ เพราะในการเลือกตั้งครั้งก่อนที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2559 นางฮิลลารี คลินตัน ก็มีคะแนนนำประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ที่ระดับนี้เช่นกัน แต่กลับแพ้การเลือกตั้งไปในท้ายที่สุด ซึ่งทำให้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นทั่วโลกจะผันผวนไปจนกว่าผลการเลือกตั้งจะมีความชัดเจนมากกว่านี้
นายคมศรกล่าวอีกว่า จากการเก็บสถิติยังพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนต่ำอย่างชัดเจน หากพรรคใดพรรคหนึ่งกุมอำนาจเบ็ดเสร็จโดยได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี และได้รับเสียงข้างมากในรัฐสภา (Congress) ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนให้เหตุผลว่าการที่ประธานาธิบดีมีอำนาจในการควบคุมรัฐสภา ทำให้ขาดกลไกในการคานอำนาจ และทำให้กฎหมายผ่านรัฐสภาโดยไม่มีการกลั่นกรองอย่างเพียงพอ จึงทำให้ตลาดให้ผลตอบแทนต่ำกว่าในกรณีที่ประธานาธิบดีมาจากพรรคเสียงข้างน้อยในรัฐสภาใดสภาหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น หากนายโจ ไบเดนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง พร้อมกับพรรคเดโมแครตสามารถแย่งชิงเสียงข้างมากในรัฐสภาได้สำเร็จ ตลาดหุ้นก็อาจตอบรับในเชิงลบ เพราะนายโจ ไบเดน อาจจะเดินหน้านโยบายสนับสนุนให้ขึ้นภาษีนิติบุคคล เป็น 28% จากปัจจุบันที่ 21% นอกจากนี้ ยังมีนโยบายเพิ่มภาษีจากกำไรจากการลงทุน (Capital Gains Tax) และสนับสนุนนโยบายป้องกันการผูกขาดของบริษัท เช่น เสนอให้กำหนดภาษีขั้นต่ำกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่างเช่น Amazon อีกด้วย ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นและสร้างผลลบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ
แต่ในทางกลับกันความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจลดความตึงเครียดลง เนื่องจากนายโจ ไบเดน มีท่าทีสนับสนุนความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ และน่าจะหลีกเลี่ยงการใช้วิธีที่รุนแรงอย่างการขึ้นภาษีนำเข้า (Tariffs) และนโยบายกีดกันทางการค้าเหมือนที่ผ่านมา ก็น่าจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นจีนและเอเชียโดยรวมเช่นกัน