นายวศินกล่าวต่อไปว่า สำหรับกลยุทธ์การจัดพอร์ตให้มีประสิทธิภาพควรกระจายลงทุนทั้งในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อสร้างผลตอบแทนในภาวะตลาดที่แตกต่างกันและช่วยลดความผันผวนได้ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถแบ่งสัดส่วนของพอร์ตออกเป็นพอร์ตหลัก (Core Portfolio) ซึ่งแนะนำให้มีน้ำหนักมากกว่า 50% ของพอร์ต ส่วนที่เหลือเป็นพอร์ตเสริม (Satellite Portfolio) โดยบลจ.กสิกรไทย แนะนำกองทุนเปิดเค โกลบอล อินคัม (K-GINCOME) เป็นพอร์ตหลัก ซึ่งมีนโยบายที่เน้นกระจายสินทรัพย์หลากหลายประเภทกว่า 2,500 สินทรัพย์ทั่วโลก ผ่านกลยุทธ์การบริหารที่ยืดหยุ่นและปรับพอร์ตให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของภาวะตลาดได้ สำหรับพอร์ตเสริมขอแนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค ไชน่า คอนโทรล โวลาติลิตี้ (K-CCTV) ที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีน A-Shares ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูง โดยกองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นติดอันดับ Top Quartile อย่างสม่ำเสมอนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน กองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุน (K-CHANGE) ที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่มีอัตราการเติบโตสูง (Growth Stock) และสร้างผลเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยกองทุนมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 52.60% ต่อปี สามารถเอาชนะดัชนีชี้วัด MSCI ALL Country World ซึ่งอยู่ที่ 2.88% ต่อปี (ข้อมูล ณ 31 ก.ค. 63) และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ โปรแอคทีฟ (K-FIXEDPRO) ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีระดับ Investment Grade ทั้งไทยและต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย โดยมุ่งหวังผลตอบแทนที่มากกว่ากองทุนตราสารหนี้ทั่วไป
“สำหรับมุมมองต่างประเทศ ตลาดหุ้นได้สะท้อนการรับรู้ข่าวดีของพัฒนาการผลิตวัคซีนจากตัวเลขดัชนีชี้วัดต่างๆ ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่หลายประเทศยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้ ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นไปได้ช้ากว่าที่คาด ในส่วนของมุมมองในประเทศ ตลาดตราสารหนี้ไทยยังคงมีสภาพคล่องและเสถียรภาพ โดยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนในระยะสั้น ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยคาดการณ์เป้าหมาย SET Index ในปีนี้ที่ระดับ 1350 จุด และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นแตะระดับ 1400 จุด หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนต้องติดตามประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนเป็นระยะได้” นายวศินกล่าว
นายวศินกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ 1.36 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.00 ล้านล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.88 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.68 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดจำแนกตามธุรกิจอยู่ที่ 21.4%, 15.5% และ 15.3% ตามลำดับ โดยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม (ข้อมูลจาก AIMC ณ 31 ก.ค. 63)