นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) (XO) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรส และ น้ำจิ้มต่างๆ , ผลิตภัณฑ์เครื่องแกงเครื่องประกอบอาหาร, ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน และผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูป และอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ เปิดเผยถึง แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2563 ยังมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากไตรมาส 2/2563 ที่กำไรทำสถิติสูงสุดใหม่รายไตรมาส สะท้อนธุรกิจอยู่ในช่วงขาขึ้นแม้ในสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก และจากมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) ส่งผลให้ความต้องการซอสปรุงรสและวัตถุดิบในการประกอบอาหารมีการขยายตัว คนนิยมประกอบอาหารทานเองที่บ้านมากขึ้น
โดยปัจจุบัน กลุ่มสินค้าของบริษัทฯ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้ม สัดส่วนประมาณ 81% ของยอดขายทั้งหมด รองลงมาคือกลุ่มเครื่องปรุงแกงและเครื่องประกอบอาหาร ประมาณ 12% ส่วนที่เหลือ คือ กลุ่มอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน กลุ่มอื่นๆ โดยในช่วงปลายปี 2562 บริษัทฯ ได้ตัดสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มออก เนื่องจากเป็นกลุ่มที่กำไรน้อย และวางนโยบายขยายตลาดในกลุ่มสินค้าที่กำไรดี และมีโอกาสโตมากกว่า
สำหรับเป้าหมายปี 2563 คาดกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ ส่วนรายได้วางเป้าหมายจะเติบโตกว่า 15% จากปีก่อนมีรายได้ราว 999 ล้านบาท พร้อมวางเป้าอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยทั้งปีนี้มากกว่า 35% และจะดีต่อเนื่องในระยะยาว เนื่องจากมองว่า สถานการณ์โควิด-19 ต้องใช้เวลาในการควบคุมโรคและรอวัคซีน ขณะที่ พฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภคที่หันมาทำอาหารทานเองที่บ้านต่อเนื่อง ทำให้สินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและวัตถุดิบในการประกอบอาหารไทยได้รับความนิยมในตลาดโลก
โดยบริษัทฯ มีกำลังการผลิตพร้อมรองรับขยายตลาด ซึ่งในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา อัตรากำลังการผลิตสินค้ากลุ่มซอสอยู่ที่ 62% ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ประกอบกับ ต้นทุนวัตถุดิบล็อคราคาในระดับต่ำได้อย่างน้อยถึงสิ้นปี 2564 สนับสนุนความสามารถในการทำกำไรที่ดีต่อเนื่อง
“ในสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก สนับสนุนความต้องการสินค้าของบริษัทฯ ในกลุ่มซอสปรุงรสเติบโตขึ้นเป็นพิเศษ จากกลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ ซึ่งมีประมาณ 60 ประเทศทั่วโลก และมีกลุ่มลูกค้าทางอ้อมซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกกว่า 5,000 แห่ง ใน 70 ประเทศ มี โดยลูกค้ากลุ่มหลักของบริษัทฯ ยังคงมาจากทวีปยุโรปดังเดิม มีสัดส่วนกว่า 83% ของยอดขายทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นยอดขายสกุลเงินบาท 78.49% สกุลเงินยูโร 4.52% และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 16.99% ลดความเสี่ยงในเรื่องค่าเงิน อีกทั้ง แม้ไม่ได้ไปออกงานแสดงสินค้า แต่ในช่วงที่ผ่านมาก็มีลูกค้ารายใหม่เข้ามาประมาณ 4 ราย สะท้อนธุรกิจอาหารยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นได้แม้ในสถานการณ์ที่เป็นวิกฤติของโลก ทำให้ปีนี้มองเป็นโอกาสในการขยายตลาดได้อีกมาก ขณะที่การทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายต่างๆ ที่ลดลง เนื่องจากมองว่าสินค้าติดตลาดและขายได้อยู่แล้ว” นายจิตติพร กล่าว
โดยผลประกอบการไตรมาส 2/2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 91.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 560.82% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขาย 339.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.48% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 41.84% อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 27.09% รับอานิสงส์สถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้คนนิยมประกอบอาหารทานเองที่บ้านมากขึ้น สนับสนุนให้ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปี 2563 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 139.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 70.67% และเติบโตกว่าปี 2562 ทั้งปี ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 121.99 ล้านบาท ด้านรายได้จากการขายอยู่ที่ 611.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.41% มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 38.23% อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 22.76% ทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ
ทั้งนี้ คณะกรรมการมีมติให้จ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด จ่ายจากกำไรสุทธิ ส่วนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในอัตรา 0.168 บาท/หุ้น จากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 กำหนดวันที่จ่ายปันผลวันที่ 11 กันยายน 2563