บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ยังมีความผันผวนสูง โดยคาดว่าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,250-1,300 จุด เนื่องทาง WHO ได้เปิดเผยว่าทั่วโลกติดโควิดรายวันที่ทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง ซึ่งแสดงว่ามีการระบาดรอบ 2 เพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา มาเลเซีย มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ขณะที่ในไทยเองได้มีการตรวจพบนักฟุตบอลติดเชื้อไม่มีอาการ 1 รายอยู่ระหว่างตรวจผู้ใกล้ชิด 441 คน เป็นลบ 155 คน ที่เหลือยังคงต้องรอผลตรวจที่ชัดเจนซึ่งจะทยอยทราบลำดับต่อไป
ประกอบกับสถานการณ์ด้านการเมืองในประเทศมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งในวันที่ 19 นี้ กลุ่มประชาชนปลดแอกนัดชุมนุมใหญ่ทางการเมือง รวมทั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จะมีความล่าช้าราว 1 เดือน ล่าสุดทาง FETCO ได้มีการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือน ส.ค.2563 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าลดลง 21% ซึ่งในวันที่ 23 นี้ กนง. จะมีการประชุมเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ครั้งที่ 6/2563 และหลังจากนั้น ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ปัจจัยต่างประเทศที่น่าจับตาและมีผลต่อการลงทุนในขณะนี้ อาทิ สหรัฐยังออกมาตรการเยียวยาผลกระทบทางศก.จากโควิด-19 ไม่ได้ ทางด้านจีนเปิดเผยการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และอัตราการว่างงาน ส่วน อียูเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ส่วนสหรัฐเปิดเผยราคานำเข้าและส่งออก และดัชนีภาคการผลิต และการผลิตภาคอุตสาหกรรม ส่วนในวันที่ 16 ก.ย.ทางอียูเปิดเผยดุลการเดือนส.ค. ด้านสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีก สต๊อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย และสต๊อกน้ำมัน ร่วมทั้ง FOMC แถลงมติอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะทราบผลในเช้า 17 ก.ย.ตามเวลาประเทศไทย
อีกทั้งในวันที่ 17 ก.ย. ทางธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประชุม เช่นเดียวกับธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้าง และดัชนีการผลิตเดือนก.ย.
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวเพิ่มว่า ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุน และจากกรณีที่บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารายใหญ่ของอังกฤษ กลับมาทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในเฟสที่ 3 ในสหราชอาณาจักรอีกครั้ง และ แบงก์ ออฟ อเมริกาเพิ่มคาดการณ์ GDP สหรัฐ Q3 เป็น 27% จากเดิม 15% ถือว่ายังไม่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้
ดังนั้นประเมินกลยุทธ์การลงทุน ทางฝ่ายวิจัย แนะนำลงทุนหุ้น Defensive Stock อาทิ ADVANC โดยทาง Bloomberg Consensus ให้ราคาเป้าหมายที่ 226.87 บาท ประกาศผลกำไรปกติไตรมาสที่ 2/63 ดีกว่าที่ตลาดคาด จากค่าใช้จ่าย SG&A ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้กำไรปกติจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน เพราะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่มองว่ากำไรน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้ว และจะกลับมาเติบโตได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
อีกทั้งยังแนะนำ TTW ทาง Bloomberg Consensus ให้ราคาเป้าหมาย 14.49 บาท ซึ่งกลุ่มของครัวเรือนยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามมาตรการให้พนักงาน Work from Home ในขณะที่อุตสาหกรรมอาหารเองก็มีการใช้กำลังการผลิตมากขึ้นด้วย ส่งผลให้ปริมาณการใช้น้ำปรับตัวสูงขึ้น ผลประกอบการก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี จ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ และสุดท้าย CHG ทาง Bloomberg Consensus ให้ราคาเป้าหมาย 2.92 บาท โดยผู้บริหารยังคงเป้าหมายรายได้และกำไรสุทธิปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% แม้มีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่โรงพยาบาล 2 แห่งใหม่ คือ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ ปราจีนบุรี และโรงพยาบาลรวมแพทย์ ฉะเชิงเทรามีผลขาดทุนลดลง และเริ่มถึงจุดคุ้มทุนก่อนจะทำกำไรได้ในช่วงปลายปี
ส่วนภาพรวมของการลงทุนในทองคำนั้น นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ทิศทางราคาทองคำในสัปดาห์นี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,900-1,970 $/Oz หรือคิดเป็นราคาทองคำไทยที่ 28,110-29,250 บาทต่อบาททองคำ โดยหากราคาหลุดแนวรับที่ 1,900$/Oz ให้ระวังแรงขายออกเพิ่มเติม