นายวิทวัสกล่าวต่อไปว่า กองทุน KPNPF มีนโยบายลงทุนในกรรมสิทธิ์ที่ดิน อาคารสำนักงาน รวมถึงระบบสาธารณูปโภคในโครงการอาคารเคพีเอ็น ทาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ และมีการคมนาคมที่สะดวก อีกทั้งยังได้รับอานิสงส์จากแผนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 ประกอบกับอัตราค่าเช่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก ทำให้สามารถหาผู้เช่าเพิ่มและปรับอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา กองทุนไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากยังสามารถรักษาฐานผู้เช่าเดิมไว้ได้ ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2556 กองทุนมีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 29 ครั้ง เป็นเงิน 3.5360 บาทต่อหน่วย หรือ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 4.92% ต่อปี
สำหรับกองทุน CTARAF มีนโยบายลงทุนในสิทธิการเช่าที่ดินและอาคาร รวมถึงระบบสาธารณูปโภคของโรงแรมเซ็นทารา
แกรนด์ บีช รีสอร์ท สมุย ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่บนหาดเฉวง เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยในปัจจุบันโรงแรมอยู่ระหว่างปิดปรับปรุง จึงไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 เนื่องจากยังคงมีรายได้ค่าเช่าจากบริษัท เซ็นทรัลสมุยโฮเต็ลแมนเนจเม้นท์ จำกัด ตามสัญญาการเช่าช่วงครบถ้วน ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2551 กองทุนมีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 41 ครั้ง รวมเป็นเงินอัตรา 6.3532 บาทต่อหน่วย และลดทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 13 ครั้ง รวมเป็นเงินอัตรา 0.8276 บาทต่อหน่วย หรือ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลและลดทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 5.83% ต่อปี
นายวิทวัสกล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของกองทุน ABPIF เป็นการลงทุนในสัญญาโอนผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 2 ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ที่มีรายได้หลักมาจากการทำสัญญาระยะยาวในการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งสัญญาโอนผลประโยชน์ของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 2 จะมีอายุคงเหลือจนถึงปี 2565 อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ถึงแม้จะส่งผลกระทบต่อการผลิตและการใช้ไฟฟ้าของบางโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร แต่โดยภาพรวมของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 2 ยังคงสามารถขายกระแสไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ตามปกติ ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ABPIF เมื่อปี 2556 กองทุนมีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 14 ครั้ง รวมเป็นเงินอัตรา 4.4403 บาทต่อหน่วย หรือ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 11.1% ต่อปี นอกจากนี้ กองทุนยังได้มีการลดทุนควบคู่กับการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยรวมเงินปันผลและลดทุนเท่ากับ 11.8163 บาทต่อหน่วย
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของบลจ.กสิกรไทย สามารถซื้อผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888