บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์? หรือ NRF ผู้ผลิตและส่งออกอาหารและเครื่องปรุงรสชั้นนำ เคาะราคาขายหุ้น IPO ที่ 4.60 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขาย หลังสำรวจความต้องการจองซื้อจากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) ที่จองซื้อเข้ามาอย่างท่วมท้นถึง 8 เท่าของจำนวนหุ้นที่จัดสรรแก่นักลงทุนสถาบัน ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยตอบรับจองซื้อหุ้น IPOอย่างคึกคัก เตรียมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 9 ตุลาคมนี้ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ ?NRF? มุ่งเป็นผู้นำระดับโลกในการเป็นผู้ผลิตอาหารแห่งอนาคต ?Future of Food? พร้อมตั้งเป้ายอดขายในปี 2567 เติบโต 3 เท่า หรือแตะ 3,000 ล้านบาท
นางสาววีณา เลิศนิมิตร กรรมการ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากที่ บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 4.00 - 4.60 บาทต่อหุ้น และเริ่มเสนอขายแก่นักลงทุนรายย่อยเมื่อวันที่ 28-30 กันยายนที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยมจากนักลงทุนรายย่อย สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่ง ด้วยศักยภาพในการสร้างความเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งทำการสำรวจความต้องการจองจากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากถึง 8 เท่าของจำนวนหุ้นที่จัดสรรแก่นักลงทุนสถาบัน ล่าสุดจึงกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) หุ้น IPO ที่ราคา 4.60 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ ?NRF?
?การกำหนดราคาหุ้น IPO ของ NRF ที่ราคา 4.60 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จากศักยภาพการเติบโตและแผนการลงทุนที่ชัดเจน ประกอบกับมีความมั่นคงของผลการดำเนินงาน และโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากธุรกิจอาหารเป็นปัจจัยสี่ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรทั่วโลกและการใส่ใจเลือกทานอาหารที่มีคุณภาพและดีต่อสุขภาพ ทำให้ NRF มีความสามารถเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว? นางสาววีณา กล่าว
นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ รวมถึงผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shape) กล่าวว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายเป็นผู้นำระดับโลกในการเป็นผู้ผลิตอาหารแห่งอนาคต ?Food For Future? โดยจะลงทุนในเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร (The Next Evolution of Food) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต วัตถุดิบและส่วนประกอบของอาหาร (Processing, Productivity, Raw Material, Ingredients) เพื่อผลิตอาหารที่มีคุณภาพและสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน มีรสชาติที่ถูกปากเพื่อสร้างความสุขและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ให้กับผู้บริโภคทั่วโลก พร้อมตั้งเป้าภายในปี 2567 จะเพิ่มยอดขายเป็นประมาณ 3,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 3 เท่า จากปัจจุบัน และมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ Plant-based เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30-40 นอกจากนี้ มีแผนเพิ่มสัดส่วนยอดขายออนไลน์เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยบริษัทฯ ได้วางแผนขยายการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ประกอบด้วย 1) การขยายกำลังการผลิต โดยลงทุนซื้อโรงงานผลิตอาหารที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับเดียวกับบริษัทฯ พร้อมนำเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและการบริหารจัดการข้อมูล (Smart production) มาปรับใช้ 2) ขยายตลาดผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ V-Shape ทั้งผลิตภัณฑ์อาหารและที่ไม่ใช่อาหาร เพื่อจำหน่ายในไทยและต่างประเทศ โดย NRF เริ่มผลิตเจลล้างมือแบบพกพาในบรรจุภัณฑ์ V-Shapes และได้เข้าทำสัญญากับ Fluid Energy Group LTD ผู้นำนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้บริการเครื่องจักร V-shape สำหรับผลิตสินค้า Sanitization เพื่อจำหน่ายในประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา และแถบตะวันออกกลาง รวมถึงมีแผนร่วมลงทุนเครื่องจักร V-shape อีก 5 เครื่อง
3) การลงทุนในเครื่องจักรผลิตเส้นบุกเครื่องที่ 2 เพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการของตลาดอาหารสุขภาพที่กำลังเติบโต หลังจากผลิตภัณฑ์เส้นบุกในรูปแบบเส้นเปล่าและแบบพร้อมรับประทานของบริษัทฯ ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค โดยลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทฯ ได้ลงนามในบันทึกตกลงความเข้าใจการรับจ้างผลิตระยะเวลาประมาณ 3 ปี เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์จากบุกประมาณ 15 ล้านหน่วย
4) การเข้าซื้อโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชในประเทศอังกฤษและสหรัฐฯ ผ่านการลงทุนใน Plant and Bean Ltd. ซึ่งร่วมทุนกับ THE BRECKS COMPANY LIMITED หรือ 'เบรคส์? จัดตั้งบริษัท Plant and Bean Ltd. ที่ประเทศอังกฤษ เพื่อรับจ้างผลิตอาหารโปรตีนจากพืชให้กับบริษัทอาหารชั้นนำของโลก โดยปัจจุบัน NRF ถือหุ้นในสัดส่วน 25% และมีแผนจะลงทุนเพิ่มอีกสัดส่วน 25% รวมเป็น 50% ในปี 2564 และจะเพิ่มกำลังการผลิตจากปัจจุบันประมาณ 3,400 ตัน เป็น 36,000 ตัน ภายในปี 2564 รวมถึงเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระยะยาว โดยการถือตราสารหนี้แปลงสภาพ ซึ่งในเดือนกรกฎาคม 2563 บริษัทฯ ได้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ใน Meatless Farm โดยถือหุ้นประมาณ 1% ในประเทศอังกฤษ ซื่งเป็นผู้ผลิตอาหารจำพวกแฮมเบอร์เกอร์เนื้อเทียม โปรตีนจาก ข้าวและถั่ว รวมถึงหัวไชเท้าโดยตั้งเป้าหมายเป็นผู้จัดจำหน่ายให้กับ Meatless Farm ในภูมิภาคเอเชียในอนาคต
5) ลงทุนเพิ่มเติมใน Big Idea Venture และกองทุนนิวโปรตีน ที่มีขนาดกองทุน 1,500 ล้านบาท เพื่อให้เงินทุนสนับสนุนและคำปรึกษาแก่ธุรกิจสตาร์ทอัพเกี่ยวกับอาหารโปรตีนจากพืช โดยมีเป้าหมายลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ 100 ราย ภายใน 3 ปี เพื่อโอกาสขยายฐานลูกค้าโดยการเป็น preferred co-packer ให้กับสตาร์ทอัพเหล่านั้น และแลกเปลี่ยนความรู้พร้อมศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับบริษัทฯ ปัจจุบันกองทุนดังกล่าวเข้าลงทุนแล้วประมาณ 27 สตาร์ทอัพ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งมียอดขายแล้ว ล่าสุด NRF ได้เข้าลงทุนใน Phuture Food Limited (?Phuture?) สตาร์ทอัพด้าน Food Tech ในทวีปเอเชียที่ได้รับความสนใจจากบริษัทลงทุนระดับโลก เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์หมูสับเทียมที่ผลิตจากโปรตีนจากถั่วเหลืองเป็น เพื่อรองรับการผลิตให้กับสตาร์ทอัพและลูกค้า Plant-based food นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนสร้างโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชแห่งใหม่ในไทย (Plant-based dedicated manufacturing facilities)
และ 6) ร่วมทุนกับ Boosted ECommerce Inc. (Boosted) ใน 2 รูปแบบ คือ ลงทุนในกลุ่มบริษัท Boosted Ecommerce Inc. (Boosted) เพื่อบริหารจัดการธุรกิจ e-commerce ของ Third-party seller บน Amazon e-commerce platform และร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนใน Consumer Package Goods ในอุตสาหกรรมอาหาร (รวมถึง pet food)
นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวทางของสหประชาชาติ (United Nations) ขับเคลื่อนสู่สังคมสีเขียว โดยได้ริเริ่มโครงการ Carbon Footprint เมื่อเดือนตุลาคม 2562 ปัจจุบันถือเป็นองค์กรปราศจากคาร์บอน (Carbon Neutral) ที่เป็นโรงงานผลิตอาหารภาคเอกชนรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับประกาศนียบัตรรับรองดังกล่าว พร้อมกันนี้ บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ คือ 1) สร้างเครือข่ายโปรตีนทางเลือก (plant-based) ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค 2) สนับสนุนสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมด้านอาหารใหม่ ๆ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 3) โปรโมทการบริโภคและผลิตอาหารอย่างยั่งยืน