บล.ทิสโก้มองดัชนีหุ้นไทยที่ 1,150-1,200 จุด เป็นจังหวะซื้อเพิ่มช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ แนะถือลงทุนข้ามปี ชี้ราคาหุ้นไทยถูกใกล้เคียงภูมิภาคแล้ว เทียบกับอดีตที่เทรดพรีเมี่ยม คาดเห็นเม็ดเงินโยกจากตลาดเงินหนีดอกเบี้ยต่ำ และเริ่มเห็นแรงซื้อหุ้นปันผลหนุนตลาด
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า บล.ทิสโก้มองว่าการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มยืดเยื้อ เพราะข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมตอบสนองได้ยาก และปัจจุบันยังไม่มีจุดร่วมกันของแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งหลังจากนี้ยังคงต้องรอติดตามการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญในต้นเดือน พ.ย. นี้ ที่จะมีญัตติการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ฉบับเดิม และบวกอีก 1 ฉบับของ iLaw
สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามเกี่ยวกับญัตติการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้น คือ ที่ประชุมจะรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรกหรือไม่ และจะรับฉบับใด หากเป็นฉบับที่เสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยการมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ก็จะจำเป็นต้องต้องออกเสียงประชามติก่อน แต่ในขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายการออกเสียงประชามติมารองรับ ดังนั้น หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยการให้มี ส.ส.ร. คาดว่าจะต้องใช้เวลาดำเนินการอีกไม่น้อยกว่า 12 เดือนนับจากที่มีการออกเสียงประชามติแล้ว
"แม้มีหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอนยังกดดันแนวโน้มตลาดหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์ดาวน์อยู่ แต่มีความเป็นไปได้ว่าประเด็นต่างๆ จะคลี่คลาย หรือมีความชัดเจนเกิดขึ้นภายในกลางเดือนนี้ สำหรับสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 โดยเฉพาะในยุโรป คาดว่าจะมีสัญญาณผ่อนคลายในช่วงครึ่งหลังเดือน พ.ย. หลังหลายประเทศในยุโรปเพิ่มมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดฯ ขณะที่ความชัดเจนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ น่าจะช่วยกระตุ้นแรงซื้อคืนกลับสู่ตลาดได้" นายอภิชาติกล่าว
นอกจากนี้ หากพิจารณาจากดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง 5 เดือนติดต่อกัน โดยดัชนีปิดที่ต่ำสุดในรอบ 7 เดือนที่บริเวณ 1,200 จุด ทำให้ บล.ทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มมีโอกาสปรับตัวลง (Downside Risk) ที่จำกัด เพราะดัชนีหุ้นไทยที่ต่ำกว่าระดับ 1,200 จุดลงมาจะคิดเป็นค่าเฉลี่ยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Fwd. PER) ของปี 2564 ต่ำกว่า 15 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในระยะยาว และไม่แพงแล้วเมื่อเทียบกับ Fwd. PER ของดัชนี MSCI Asia ex. Japan Index ปัจจุบันอยู่ที่ 14.5 เท่า
โดยปกติแล้วดัชนีหุ้นไทย จะซื้อขายที่ Fwd. PER สูงกว่า MSCI Asia ex. Japan Index เฉลี่ยเกือบ 2 เท่า จากประเด็นนี้น่าจะดึงดูดให้มีการโยกเงินที่พักอยู่ในเงินฝากธนาคารและตลาดเงิน (Money Market) เป็นจำนวนมากเข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น เพื่อแสวงหาผลตอบแทนภายใต้ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ผสานกับคาดว่าจะเริ่มมีแรงซื้อทยอยเก็บหุ้นปันผล เนื่องจากอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะเข้าสู่ฤดูกาลจ่ายเงินปันผลประจำปีแล้ว ดังนั้น บล.ทิสโก้ยังคงกลยุทธ์ทยอยสะสมต่อเนื่อง โดยลุ้นให้เดือน พ.ย. เป็นจุดต่ำสุด และมองดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 1,150-1,200 จุด เป็นจังหวะซื้อเพิ่มโค้งสุดท้ายของปีนี้ และแนะถือลงทุนข้ามปี
ด้านธีมการลงทุนในเดือนนี้จะเน้นหุ้นที่คาดงบไตรมาส 3/2563 จะออกมาดี แนวโน้มกำไรไตรมาส 4 ยังดีต่อเนื่อง และมีปัจจัยบวกหนุนระยะสั้น หุ้นเด่นในเดือน พ.ย. ที่แนะนำ คือ BAM, MTC, RBF, SAPPE, SYNEX และ TPIPL สำหรับแนวรับสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,150-1,170 จุด และแนวต้านสำคัญของดัชนีเดือนนี้อยู่ที่ 1,200-1,205 จุด ต่อไปคือ 1,220-1,225, 1,240-1,250 จุด ตามลำดับ