"พุทธิพงษ์" นำคณะผู้บริหารดีอีเอส พร้อมหน่วยงานในสังกัด ติดตามผลงานการพัฒนาระบบจัดการท่าเรืออัจฉริยะ จ.ภูเก็ต นำร่องตอบโจทย์การใช้งานเพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยการคัดกรองและติดตามโรคระบาด เพิ่มความมั่นใจการผ่อนคลายมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ควบคู่การตรวจคัดกรอง ติดตาม และเฝ้าระวังโควิด-19
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ คณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ ท่าเทียบเรืออ่าวปอ จ.ภูเก็ต ในโอกาสเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2563 ระหว่างวันที่ 2-3 พ.ย. 63 ที่ จ.ภูเก็ต
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า โครงการท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ต้นแบบท่าเทียบเรืออ่าวปอ เป็นโครงการที่กระทรวงดิจิทัลฯ โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ได้ดำเนินการพัฒนาจัดการท่าเรือ ณ ท่าเทียบเรืออ่าวปอ ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เพื่อให้จังหวัดสามารถทราบข้อมูลและจำนวนผู้โดยสารในเรือแต่ละลำ เก็บภาพ VDO ของผู้โดยสาร พร้อมการคัดกรองอุณหภูมิผู้โดยสารก่อนลงเรือ เพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยการคัดกรองและติดตามโรคระบาด
ทั้งนี้ ระบบการจัดการท่าเรืออัจฉริยะในโครงการต้นแบบดังกล่าว ประกอบไปด้วย
- ระบบลงทะเบียนผู้โดยสารทางทะเลกลางผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยให้ผู้ประกอบการทัวร์ หรือเจ้าของเรือ ลงทะเบียนรายชื่อผู้โดยสาร ลูกเรือ กัปตัน ชื่อเรือ พร้อมเส้นทางการเดินทางของเรือ ก่อนเรือออกในแต่ละวัน พร้อมระบบรายงานเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง
- ระบบจัดการผู้โดยสารท่าเรืออัจฉริยะ คือ ประตูอัตโนมัติ จุดขึ้นลงเรือ พร้อม CCTV จับใบหน้าและวัดอุณหภูมิ และตู้พร้อมอุปกรณ์ (Kiosk) ลงทะเบียนผู้โดยสารหน้าท่าเรือ พร้อมกล้องจับใบหน้า เครื่องอ่านบัตรประชาชน และพาสปอร์ต 3. ระบบ Wristbands ติดตามตัวบุคคลและร้องขอความช่วยเหลือเมื่อประสบภัย และ 4. เรือท่องเที่ยวที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินโครงการเพื่อเป็นต้นแบบท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) เป็นจุด One Stop Service บูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อการพัฒนาการบริหารงานท่าเทียบเรือในอนาคต
"แพลตฟอร์มนี้ได้รับการออกแบบในลักษณะ One Stop Service เช่น การเชื่อมต่อข้อมูลด้านประกันภัยแบบอัตโนมัติ เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น นักท่องเที่ยวสามารถนำสายรัดข้อมือไปยืนยันการเคลมประกันกับโรงพยาบาลได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องโทรติดต่อประกันภัย หรือนำเอกสารยืนยันตัวต่างๆ เข้าไปยื่นก่อนการรักษา สามารถเข้ารับการรักษาได้เลย เป็นลดขั้นตอน ลดระยะเวลาไปอย่างมาก หรือจะเป็นการส่งรายชื่อนักท่องเที่ยวทุกคน ให้เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าก่อนการออกเดินทาง เพื่อเป็นไปตามมาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งแพลตฟอร์มรองรับการอัปโหลดข้อมูลจากบริษัทนำเที่ยว จากนั้นแพลตฟอร์มจะทำการส่งข้อมูลเหล่านั้น ให้กับเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่า และสามารถประมวลผล และสรุปผลได้โดยทันที" นายพุทธิพงษ์กล่าว
โดยในโอกาสนี้ เขาได้มอบข้อเสนอแนะว่า การนำเทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการท่าเทียบเรือ จะทำให้ท่าเทียบเรือให้มีความปลอดภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการจะทำให้เพิ่มขั้นตอนการดำเนินงาน และท่าเรือ/บริษัทนำเที่ยวมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม จึงอาจจะทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือในการขยายผลในท่าเรืออื่นๆ หรือเกิดการย้ายท่าเรือของบริษัทนำเที่ยว เพื่อหลีกเลี่ยงในกระบวนการในส่วนนี้ ทำให้เกิดช่องโหว่ของการดูแลความปลอดภัยทางทะเล
ดังนั้น ควรมีการกำหนดมาตรการ และการสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่างๆ ให้เกิดเป็นรูปธรรม และขยายผลให้มีการดำเนินการทุกๆ ท่าเทียบเรือในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งจะทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น และสามารถสร้างความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว
"ผมจึงมีคำสั่งการให้ดีป้า ประสานงานกับกรมเจ้าท่าเพื่อร่วมกันกำหนดมาตรการ และการสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดการขยายผลในทุกๆ ท่าเทียบเรือในจังหวัดภูเก็ต ปิดช่องโหว่ข้างต้น เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย และความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว" นายพุทธิพงษ์กล่าว
นอกจากนี้ ยังมองว่าโครงการท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ต้นแบบท่าเทียบเรืออ่าวปอ จะมีส่วนสนับสนุนให้ประชาชน ตลอดจนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ มีความมั่นใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวภูเก็ตเพิ่มขึ้น ภายหลังมีมาตรการผ่อนคลายการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าไทย ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูเก็ต ซึ่งพึ่งพิงการท่องเที่ยวเป็นหลัก จึงได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา