บมจ.เอสวีไอ หรือ SVI ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิคส์สำเร็จรูปให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรม โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/63 ทำกำไรสุทธิ พุ่งแรง 126% หรือคิดเป็น 249 ล้านบาท รับออเดอร์ผลิตภัณฑ์ป้ายแสดงราคาสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ อุปกรณ์สื่อสารไร้สาย และกล้องวงจรปิดอัจฉริยะหนุนดันผลงานช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ ทำกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 585 ล้านบาท เติบโต 70% มั่นใจเป้าหมายปีนี้เติบโตตามแผนที่วางไว้
นายสมชาย สิริปัญญานนท์ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิคส์สำเร็จรูป ให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer: OEM) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการผลักดันผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2563 (กรกฏาคม-กันยายน) เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยทำกำไรสุทธิ 249 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 110 ล้านบาท และปรับตัวเพิ่มขึ้น 130% หากเทียบกับกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2563 ที่มีกำไรสุทธิ 109 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมยอดขายทำได้ 4,198 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มียอดขาย 3,826 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่สนับสนุนผลงานในไตรมาสนี้ มาจากผลิตภัณฑ์ป้ายแสดงราคาสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ในกลุ่มอุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิคส์ที่ทำสัดส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 18% ของยอดขายรวมทั้งหมด จากไตรมาสก่อนที่มีสัดส่วนยอดขาย 15% และผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดอัจฉริยะในกลุ่มอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมและระบบเครือข่ายไร้สายสำหรับการสื่อสาร ซึ่งเป็นพอร์ตที่ทำสัดส่วนยอดขายสูงสุดมีอัตราเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการบริหารจัดการป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีและค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรปรับตัวลง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) มีกำไรสุทธิสูงถึง 585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 343 ล้านบาท
"เราพอใจมากที่ผลักดันอัตราการทำกำไรสุทธิในไตรมาส 3 สูงขึ้นเป็น 5.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตราการทำกำไรสุทธิ 2.9% และยังส่งผลดีต่อภาพรวมกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ SVI และความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อนำขีดความสามารถด้านการผลิตและการบริหารจัดการด้านต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ในภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงเติบโตได้ดีแม้มีปัจจัยลบด้าน COVID-19 ก็ตาม" นายสมชาย กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าเป้ายอดขายปีนี้เติบโต 10-15% ได้ตามแผน โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิคส์และกลุ่มอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมและระบบเครือข่ายไร้สายสำหรับการสื่อสาร เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญทางธุรกิจ รวมถึงการบริหารต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพและป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินให้สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตเพื่อสนับสนุนผลการดำเนินงานในปีนี้