บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผล 5 กองหุ้นต่างประเทศ กว่า 200 ล้านบาท พร้อมเผยจากสถานการณ์โควิดที่ยังคงมีอยู่ ส่งผลให้ทั่วโลกต่างปรับตัวเพื่อก้าวข้ามให้ได้ ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีสภาพคล่องที่ล้นระบบประคองตลาด ส่วนธนาคารกลางยุโรปเตรียมออกมาตรฐานกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม สำหรับตลาดเกิดใหม่นำโดยจีนควบคุมสถานการณ์ได้ดี มีการบริโภคภายในที่เข้มแข็ง รวมถึงตลาดหุ้นกลุ่มสุขภาพที่ยังคงได้รับอานิสงส์จากการคิดค้นวัคซีนโควิด และพฤติกรรมการรักษาโรคที่เปลี่ยนไปหันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
นายนาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นต่างประเทศ จำนวน 5 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดเค โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ออพพอร์ทูนนิตี้ (K-GEMO) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดเค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุน (K-GHEALTH) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดเค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุน Unhedged (K-GHEALTH(UH)) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน-A ชนิดจ่ายเงินปันผล (K-USA-A(D)) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย โดยทั้งหมดมีกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมกันในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 222.09 ล้านบาท
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-USA-A(D) มีการจ่ายปันผลนับตั้งแต่จัดตั้งรวมทั้งสิ้น 30 ครั้ง เป็นเงิน 8.20 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 5.61% ต่อปี และมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 52.14% ต่อปี (ข้อมูล ณ ต.ค. 63) ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังผันผวน แม้ผลการเลือกตั้งจะออกมาที่นายไบเดนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี แต่ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามซึ่งรวมถึงการยื่นคำร้องต่อศาลให้นับคะแนนใหม่จากฝั่งทรัมป์ ด้านสถานการณ์โควิดยังคงน่าเป็นห่วงและกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี แม้ราคาหุ้นจะซื้อขายแพง แต่จากอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่ายังอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีก และสภาพคล่องที่ล้นระบบจะช่วยประคองตลาดให้ไปต่อได้
กองทุน K-EUROPE มีการจ่ายปันผลนับตั้งแต่จัดตั้งรวมทั้งสิ้น 22 ครั้ง เป็นเงิน 4.90 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 7.21% ต่อปี และมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 8.02% ต่อปี (ข้อมูล ณ ต.ค. 63) ทั้งนี้ ภูมิภาคยุโรปยังคงได้รับผลกระทบการจากแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้หลายเมืองต้องล็อกดาวน์อีกครั้ง ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรปเตรียมดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นยุโรปยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ
กองทุน K-GEMO มีการจ่ายปันผลนับตั้งแต่จัดตั้งรวมทั้งสิ้น 10 ครั้ง เป็นเงิน 2.55 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 6.62% ต่อปี และมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 8.02% ต่อปี (ข้อมูล ณ ต.ค. 63) ทั้งนี้ กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่นำโดยจีนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี อันเป็นผลมาจากการควบคุมสถานการณ์โควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 5G และนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพรองรับการเติบโตในอนาคต
กองทุน K-GHEALTH มีการจ่ายปันผลนับตั้งแต่จัดตั้งรวมทั้งสิ้น 8 ครั้ง เป็นเงิน 1.90 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 6.95% ต่อปี และมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 17.47% ต่อปี (ข้อมูล ณ ต.ค. 63) สำหรับกองทุน K-GHEALTH(UH) มีการจ่ายปันผลนับตั้งแต่จัดตั้งรวมทั้งสิ้น 5 ครั้ง เป็นเงิน 1.00 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 7.22% ต่อปี และมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 21.63% ต่อปี (ข้อมูล ณ ต.ค. 63) ทั้งนี้ หุ้นกลุ่ม Healthcare ในช่วงที่ผ่านมามีการฟื้นตัวนำโดยกลุ่ม Healthcare Equipment, Healthcare Provider, Biotechnology และ Pharma ซึ่งบริษัทเวชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกอย่าง Johnson & Johnson, AstraZeneca PLC และ Pfizer Inc เป็นต้น มีความคืบหน้าจากการทดลองและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มนี้ยังเติบโตได้ดีในปีนี้และปีหน้า นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของโควิดเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรักษาโรคจากการเข้าโรงพยาบาล มาเป็นการรักษาผ่านทางไกล (Telemedicine) และการบริการดูแลสุขภาพผู้ป่วยที่บ้าน ส่งผลบวกต่อหุ้น Teladoc และ Amedisys ซึ่งกองทุนหลักถืออยู่
"กองทุน K-USA-A(D), K-EUROPE, K-GHEALTH และ K-GHEALTH(UH) ยังได้รับการจัดอันดับ Overall Morningstar Rating 5 ดาว ส่วนกองทุน K-GEMO ได้รับการจัดอันดับ Overall Morningstar Rating 4 ดาว (ที่มา: Morningstar ณ ต.ค. 63) ทั้งนี้ การจัดอันดับกองทุน (Morningstar Rating) เป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งผู้ลงทุนสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนได้" นายนาวินกล่าว
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนประเมินสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุนในกองทุน และ K-USA-A(D), K-GEMO, K-GHEALTH และ K-GHEALTH(UH) ส่วนกองทุน K-EUROPE แนะนำให้เข้าลงทุนได้ ทั้งนี้ สำหรับผู้ลงทุนที่รับความผันผวนได้สูง และยังต้องการลงทุนเพิ่ม สามารถลงทุนได้ผ่าน App K PLUS, K-My Funds และธนาคารกสิกรไทย ตลอดจนผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยเริ่มต้นได้เพียง 500 บาท และสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888