นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3/2563 มีกำไรสุทธิ 1,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.07 % จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,080 ล้านบาท และยังคงทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมียอดสินเชื่อคงค้าง 66,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น คิดเป็น 16.22% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 57,647 ล้านบาท พอร์ตสินเชื่อเติบโตได้ดีเนื่องจากความต้องการฟื้นตัวหลังเข้าสู่การเปิดเทอมใหม่ และฤดูเก็บเกี่ยวของเกษตรกร ขณะที่คุมต้นทุนการเงินได้ดี เดินหน้าเพิ่มสาขาเป็น 4,798 สาขา ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 10,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.43% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้สุทธิเท่ากับ 9,233 ล้านบาท
"ภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปี 2563 จะเห็นว่าการเติบโตของสินเชื่อยังมีความแข็งแกร่งและฟื้นตัวจากไตรมาสที่ 2 ที่เป็นช่วง Lockdown และมีมาตรการช่วยเหลือจากทางภาครัฐออกมามากมาย โดยสินเชื่อขยายตัว 6.05% จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ เรามองว่าการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเป็นไปอย่างแข็งแกร่งและมีคุณภาพ เนื่องจากเป็นการเติบโตฐานลูกค้าจักรยานยนต์เป็นหลัก ด้วยอุปสงค์ที่ฟื้นตัวจากการเปิดเทอมใหม่ ฤดูกาลเก็บเกี่ยวของเกษตรกร และการปรับตัวของกลุ่มลูกค้าที่เราเชื่อว่ามีความยืดหยุ่นสูง และสิ่งที่สำคัญคือการที่ MTC สามารถขยายเครือข่ายสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 4,798สาขา ทำให้มีโอกาสทางธุรกิจมากขึ้นในแง่ของ Economy of scale รวมทั้งมีการควบคุมต้นทุนทางการเงินทำได้ดีต่อเนื่อง เราจึงสามารถรักษา Spread ให้คงที่ได้" นายชูชาติกล่าว
ประธานกรรมการบริหาร กล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์ช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯยังคงจะมุ่งเน้นไปที่ 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย การจัดการต้นทุนทางการเงิน ซึ่งจะช่วยรักษา Spread ให้คงที่ โดยเงินทุนใหม่ของบริษัทฯ บางส่วนมาจากเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และบางส่วนมาจากการออกหุ้นกู้มีต้นทุนที่ถูกลงกว่าหุ้นกู้เดิม และคาดว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯภายหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากความต้องการในการลงทุนในบริษัทฯที่มีเรตติ้ง BBB+ ในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯ คาดหวังว่า ต้นทุนทางการเงินในช่วงปลายปีนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าว
ขณะที่การคุมคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งรวมถึงการตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 9 (TFRS9) ให้เหมาะสม และเพียงพอต่อความเสี่ยงด้านคุณภาพหนี้ โดยจะคุมหนี้เสียไว้ไม่เกินระดับ 2% ตามเป้าที่วางไว้ก่อนหน้านี้ ตลอดจนการเร่งผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อยกระดับ Customer Experience เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตในระยะยาวและเพื่อสร้าง Competitive Edge เพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของบริษัทฯ ที่สำคัญ
นอกจากนี้ล่าสุด การที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)ประกาศรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2563 ซึ่ง MTC เป็น 1 ในหุ้น ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน 124 บริษัทและเป็นการติดอันดับ 2 ปีซ้อนต่อเนื่อง ทั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ได้มองเฉพาะเรื่องของกำไรเพียงอย่างเดียว โดยให้ความสำคัญกับการคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาล (ESG) ในกระบวนการดำเนินงานมากขึ้นด้วย