นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้า รวมทั้งอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยถึง แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2563 คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จากงานในมือ (Backlog) ในปัจจุบันมีรอไว้อยู่แล้วที่ 1,200 ล้านบาท ชึ่งจะรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า
"ปีนี้เป็นปีที่มีความท้าท้ายอย่างยิ่ง จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การลงทุนหรือโครงการต่างๆ ยังชะลออยู่ ประกอบกับราคาสินค้ามีการแข่งขันรุนแรง และราคาสินค้าต้องปรับตัวลดลง มีผลต่อยอดขาย แต่อย่างไรก็ดี แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 4 มีปัจจัยบวกที่ดีกว่าไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จากธุรกิจใหม่ที่เราผลิตเพื่อส่งไปสหรัฐอเมริกาดีเลย์ ซึ่งจะมีการรับรู้รายได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ ประกอบกับ ภาพรวมผลประกอบการทั้งปี 2563 อาจไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ จากผลกระทบโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก" นายอนันต์ กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15-25% โดยจะยังคงโมเดลธุรกิจว่า "Total Lighting Solution Provider" เพื่อสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าของเราจะได้รับบริการที่ดีที่สุดและสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ภายใต้กระแสเศรษฐกิจดิจิทัลที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ บริษัทฯ จะยังคงให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับ IoT ซึ่งบริษัทฯ ได้พัฒนาจนกล่าวได้ว่าอยู่ในขั้นแนวหน้าของประเทศ มีผลงานในด้านนี้จำนวนมาก เช่น สมาร์ทซิตี้ที่อำเภอเกาะสมุย โคมไฟถนนอัจฉริยะที่วังจันทน์ วัลเลย์ จังหวัดระยอง และโคมไฟฟ้าโซล่าร์อัจฉริยะรอบสนามบินจำนวน 22 แห่ง ของกรมท่าอากาศยาน เป็นต้น และมีแนวโน้มว่าธุรกิจด้านนี้กำลังเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมแสงสว่างสำหรับการเกษตรและการปลูกพืช และยังมีกลุ่มสินค้า Entertainment lighting ที่บริษัทฯ ได้พัฒนาขึ้น อยู่ในเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ธุรกิจใหม่ที่เข้ามาสนับสนุน ซึ่งเป็นผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ส่งผลให้บริษัทฯ รุกตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านบริษัทพันธมิตร และปัจจุบันยังมีบริษัทอื่นจากประเทศสหรัฐอเมริกาติดต่อให้บริษัทผลิตสินค้าให้โดยตรงซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี เพื่อสอดรับแนวโน้มดังกล่าวที่เน้นการผลิตสินค้าครั้งละจำนวนมาก บริษัทฯจึงได้ขยายโอกาส เพิ่มโมเดลธุรกิจใหม่ โดยใช้ชื่อว่า "Efficient Value Chain Management" โดยเน้นการลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพสินค้าตลอดห่วงโซ่การผลิต
"ปี 2564 เชื่อว่ารายได้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่มีวิกฤตโควิด-19 รอบสอง หรือรอบ 3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากธุรกิจใหม่ "Efficient Value Chain Management" ที่เน้นการผลิตเป็นจำนวนมาก ทำให้ลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพสินค้าตลอดห่วงโซ่การผลิต รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้รายได้เราโตในปีหน้า" นายอนันต์ กล่าว
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีนโยบายรักษาวินัยทางการเงิน และจะรักษาสัดส่วน D/E ที่เหมาะสม ไม่ให้เกิดปัญหาความเสี่ยงจากการลงทุนมากเกินไป และบริษัทฯยังคงคำนึงถึงประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นหลักพร้อมทั้งการขยายโอกาสทางการตลาดไปยังนานาประเทศ เชื่อว่าจะสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ