ศาสตราจารย์ นางาฮิโร มินาโตะ (Nagahiro Minato) อธิการบดี มหาวิทยาลัยเกียวโต และ ศาสตราจารย์ นพ. บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนา โดยสะท้อนให้เห็นถึงการก้าวสู่ทศวรรษใหม่ของความร่วมมือของประชาคม ซึ่งประกอบด้วย ผู้นำทางการศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ท่ามกลางความท้าทายของดิจิทัลดิสรัพชั่นและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในหลายภูมิภาคโลก ในงานประชุมนี้มีการแบ่งปันประสบการณ์การสัมมนาของนักวิจัยรุ่นใหม่จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในการศึกษาและวิจัยสิ่งแวดล้อมโลกใน 4 หัวข้อหลัก ประกอบด้วย 1. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science & Technology) 2. การเกษตรและชีวภาพ (Agriculture & Biology) 3. การวางแผนผังพัฒนาเมืองและชนบท (Urban & Rural Planning) 4. นโยบายและเศรษฐกิจ (Policy & Economics) ซึ่งสำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาและวิจัยในอนาคต พร้อมทั้งนำเสนอแผนสำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการศึกษาและการวิจัย และนำเสนอการอภิปรายข้อเสนอแนะเกี่ยวกับทิศทางความร่วมมือระหว่างประเทศในอนาคต ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าประชุมและประชาคมโลก
รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า กว่า 10 ปี ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ประสานความร่วมมือระหว่างไทย-ญี่ปุ่นอย่างเข้มแข็งกับมหาวิทยาลัยเกียวโตมาตลอด โดยเริ่มจากปี 2007 เป็นต้นมา ซึ่งได้มีความร่วมมือทางด้านการวิจัยและการแลกเปลี่ยนนักศึกษา อาจารย์ ระหว่างคณะวิศวกรรมกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ Graduate School of Global Environmental Studies (GSGES), Kyoto University และในปัจจุบัน มีหลักสูตรร่วมกันระหว่าง 2 มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนแบบ Double Degree โดยหลักสูตรแรกที่เปิดในปี 2017 คือ หลักสูตรนานาชาติวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรน้ำ ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และหลักสูตรการศึกษาสิ่งแวดล้อมโลกของมหาวิทยาลัยเกียวโต นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้ง Kyoto University On-Site Laboratory ขึ้นที่มหาวิทยาลัยมหิดลในปี 2019 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นหุ้นส่วนในความร่วมมือด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์ของทั้งสองประเทศ ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาระบบการศึกษา งานวิจัย นวัตกรรมในประเทศไทย และเป็นการพัฒนาเพื่อมุ่งสู่มหาวิทยาลัยระดับโลก
ไฮไลต์ของการประชุมในครั้งนี้ คือ การใช้เวทีสัมมนาเป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์เกี่ยวกับมาตรการการรับมือโควิด-19 ในประเทศไทย (Post COVID-19 Countermeasures in Education and Research) มีหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ หัวข้อ Moving Teaching Online - Kyoto University's Response to COVID-19 โดย ศาสตราจารย์ ฮาจิเมะ คิตะ (Hajime Kita) ,ความสำเร็จของประเทศไทยในการจัดการโควิด-19 ในหัวข้อ โควิด19 : ตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาทางการแพทย์และการพัฒนาเทคโนโลยีการศึกษา (COVID-19 : Catalyst of the Change in Medical Education and Technological Development) โดย ศ.ดร. นายแพทย์ ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า ในอดีต เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล ถูกจำกัด หากนักศึกษาแพทย์ต้องการศึกษาจะต้องศึกษาในสถานที่ที่จัดไว้เท่านั้น แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล ทั่วโลกต่างให้การยอมรับ ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาใช้อย่างจริงจัง ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย และนำมาใช้ร่วมกับการศึกษา โดยนักเรียนสามารถเข้าร่วมชั้นเรียนได้ทั้ง แบบ Synchronous and Asynchronous ได้ทั้งแบบออนไลน์และแบบออนดีมานด์ มีการเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกที่น่าสนใจบางอย่าง เช่น Interactive Multimedia, Interactive Video ซึ่งในอนาคตอันใกล้ ผลจากการทำงานร่วมกันระหว่างกรมการแพทย์และกองสารสนเทศปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์การเรียนรู้ จะถูกนำมาใช้เพื่อสร้าง "Adaptive Learning" ซึ่งจะช่วยปรับปรุงคุณภาพยกระดับการศึกษาทางการแพทย์ของประเทศไทยสู่ระดับโลก
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย คณะวิศวกรรมศาสตร์ ยังสร้างนวัตกรรมและหุ่นยนต์ทางการแพทย์ เพื่อฝ่าวิกฤติโควิด-19 ด้วย เช่น หุ่นยนต์แพทย์อัจฉริยะ DoctoSight 1 และ 2 ช่วยลำเลียงขนส่งและดูแลผู้ป่วย , หุ่นยนต์ Foodie จัดส่งอาหารและยาไปยังคนไข้ในโรงพยาบาล , หุ่นยนต์ Wastie เก็บขยะติดเชื้อใน รพ. ลดภาระความเสี่ยงของบุคลากรแพทย์ , หุ่นยนต์ AI-Immunizer ทดสอบวัคซีนอัจฉริยะ , Jubjai Bot แชทบอทระบบหุ่นยนต์เอไอ เพื่อผู้ป่วยโรคซึมเศร้า , หุ่นยนต์ผ่าตัดทางไกล เป็นต้น ในอนาคต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จะทำงานร่วมกัน ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเชื่อมโยงการให้ข้อมูลการดูแลสุขภาพหรือข้อมูลการศึกษา ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จะทำการตั้งค่าอัลกอริทึมของข้อมูลและการประยุกต์ใช้ทางเทคนิค AI ด้านคณะวิศวกรรมศาสตร์ จะร่วมพัฒนาชีวิตวิถีใหม่ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ดังนั้น การระบาดของ COVID-19 จึงเป็นตัวเร่งสำคัญของการเปลี่ยนแปลงการศึกษาทางการแพทย์และเทคโนโลยีของโลก