นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ผู้นำการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานความมั่นคงปลอดภัย ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับประเทศ กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในไตรมาส 4/2563 นี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการให้บริการ IT Solution ใหม่ ซึ่งเป็น Smart Security Platform แบบครบวงจร สำหรับตลาด B2B เป็นหลัก โดยเฉพาะในปีแรกจะเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งคาดว่าการบริการดังกล่าวจะสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนทั่วไปให้มีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น และคาดว่าหลังจากเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแล้วจะสามารถสร้างยอดขายในปีแรกได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
"เราเตรียมที่จะทรานฟอร์มไปสู่เทคคอมพานีอย่างเต็มรูปแบบ และก้าวเข้าสู่งานภาคเอกชนอย่างเต็มตัวในปีหน้า ด้วยจุดแข็งในการเป็นผู้ให้บริการทางด้าน Smart Security Platform ครบวงจร ทั้งออกแบบและติดตั้งระบบต่างๆ รวมถึง Digital Platform ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนทั่วไปให้ได้ใช้งาน และใช้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น สามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจให้กับลูกค้าด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยของเรา" นายสิทธิเดช กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า จากแผนการขยายงานภาคเอกชนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากนี้ จะทำให้บริษัทมีการรับรู้รายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ (Recurring Income) ตามระยะเวลาสัญญาของแต่ละโครงการ ถือเป็นการสร้างความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน และบาลานซ์พอร์ตรายได้จากงานภาครัฐได้อย่างดี ซึ่งจากทิศทางและแผนที่จะมุ่งไปในครั้งนี้มั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้สกายแข็งแกร่ง และสร้างความสามารถในการทำกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 2,466.1 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 68.3 ล้านบาท ทั้งนี้หากพิจารณารายได้จากการขายและการบริการที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 9 เดือน โดยมีรายได้จากการขาย 445.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 340 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 323.5% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีรายได้จากการขาย 105.1 ล้านบาท และรายได้จากการบริการ 435.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 340.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 358.3% ส่วนผลการดำเนินงานทั้งปี 2563 คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท ในปี 2564 และ 2565 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าหลังจากปี 2565 รายได้ของบริษัทจะกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดดอีกครั้งจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติตามการคาดการณ์ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
ทั้งนี้คาดว่าปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมธุรกิจและแผนการดำเนินงานของบริษัทจะกลับมาเติบโตตามลำดับ โดยในไตรมาส 3/2563 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน บริษัทเข้าประมูล และลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ โดยเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 11/2563 มีมติอนุมัติการเข้าลงทุนในบริษัท เอสเอแอล กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (SAL) ในสัดส่วน 46.80% เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมการบินที่ในปัจจุบันบริษัทมีฐานการให้บริการงานด้านวิศวกรรม งานระบบกล้องวงจรปิด งานระบบออกตั๋วโดยสารเครื่องบิน งานให้บริการ WiFi และงานบริการจัดเก็บรถเข็นกระเป๋า ทั้งในสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต หาดใหญ่ อยู่แล้ว และพร้อมที่จะขยายธุรกิจไปยังการให้บริการภาคพื้นในสนามบินอย่างครบวงจร