นายแพทย์จิรวัฒน์ เชี่ยวเฉลิมศรี อาจารย์แพทย์อนุสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก สาขาวิชาอายุรกรรม ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เผยว่า สถานการณ์ของโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งทั่วโลก และในประเทศไทยจากสถิติล่าสุดปี 2559 ของสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืดและวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย พบว่ามีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึง 3 - 4 เท่าเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นโรคภูมิแพ้ในเด็กไทยสูงถึงร้อยละ 38 และพบในผู้ใหญ่ประมาณร้อยละ 20 ซึ่งมีอุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้โดยเฉลี่ยดังนี้ คือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 23 - 30 โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคหืดร้อยละ 10 - 15 โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 15 และโรคแพ้อาหารร้อยละ 5 และในปัจจุบันมีข้อมูลว่ามลพิษ (air pollution) ที่มีมากขึ้นในปัจจุบันทำให้คนเป็นโรคกลุ่มภูมิแพ้ และหลอดลมมากยิ่งขึ้น ซึ่งโรคภูมิแพ้นั้นถ้าไม่ได้รับการรักษาจะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่กว่าคนปกติ เช่น การเกิดอาการคัดจมูกในเวลากลางคืนทำให้นอนอ้าปากหายใจจึงตื่นมาด้วยอาการปากแห้ง รู้สึกเหมือนนอนหลับไม่สนิท อาจมีง่วงช่วงกลางวัน ส่วนกลุ่มโรคหืด อาจมีอาการเหนื่อยทั้งตอนกลางคืน หรือตอนออกแรงจนทำให้ต้องหยุดงาน ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง
โรคภูมิแพ้คือโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อสารกระตุ้นที่ในภาวะปกติ แล้วจะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสรพืช ขนสัตว์ แล้วเกิดการตอบสนองไวอย่างมากผิดปกติ ซึ่งแตกต่างจากคนปกติทั่วไปทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น โพรงจมูก หลอดลม ผิวหนัง
สารก่อภูมิแพ้ (Allergen) สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง อาทิ การสัมผัสทางผิวหนัง ตา หู จมูก การรับประทานอาหาร การได้รับผ่านทางระบบทางเดินหายใจ การฉีดหรือถูกแมลงกัดผ่านทางผิวหนัง สารก่อภูมิแพ้ที่เป็นตัวการของโรคภูมิแพ้ ได้แก่ ตัวไรฝุ่น แมลงสาบ เชื้อรา ขนสัตว์ แมลงต่างๆ ฯลฯ โรคภูมิแพ้ที่สำคัญที่พบได้บ่อยและมีผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วย ได้แก่ โรคหืด(Asthma) โรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้(Atopic dermatitis)
การรักษาโรคภูมิแพ้เยื่อบุจมูกอักเสบ โรคหืด หรือผื่นผิวหนังอักเสบให้ได้ผลดีนั้น นอกจากผู้ป่วยควรจะทราบสารที่ก่อภูมิแพ้ของตน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้นั้นแล้ว ยังมีการใช้ยา ซึ่งมีทั้งยาชนิดรับประทาน ยาพ่นจมูก ยาพ่นหรือยาสูดทางปาก และหากใช้ยาแล้วผู้ป่วยยังคุมอาการไม่ได้ ปัจจุบันยังมีการรักษาด้วยการปรับภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) ให้ผู้ป่วยหายแพ้ต่อสารนั้น เพื่อให้อาการของโรคดีขึ้นหรือหายได้ ปัจจุบันการรักษาด้วยวิธีการปรับภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) มี 2 วิธีหลัก คือ วิธีฉีดสารที่แพ้เข้าใต้ผิวหนังและค่อยๆ เพิ่มปริมาณทีละนิดทุกครั้งที่มาพบแพทย์ และอีกวิธีเป็นการใช้สารที่ผู้ป่วยแพ้อมใต้ลิ้นทุกวัน ปัจจุบันในประเทศไทยวิธีอมใต้ลิ้น มีใช้เฉพาะผู้ป่วยกลุ่มที่แพ้ต่อไรฝุ่น ทั้งนี้ในการรักษาด้วยวิธีปรับภูมิคุ้มกัน (immunotherapy) ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์เฉพาะทาง เพราะอาจมีผลข้างเคียงจากการรักษาได้ในผู้ป่วยบางราย เช่น อาการแพ้ มีผื่น หายใจไม่ออก หรืออาจแพ้รุนแรงได้
สุดท้ายนี้อยากฝากถึงทุกคนว่า โรคภูมิแพ้เยื่อบุจมูกอักเสบ โรคหืด อาจไม่ใช่ภาวะที่ทำให้ต้องมาพบแพทย์ทันที แต่หากปล่อยทิ้งไว้ และยังสัมผัสต่อสารแพ้ต่อเนื่อง อาจทำให้มีผลแทรกซ้อน เช่น ไซนัสอักเสบ ไอเรื้อรังจากเสมหะไหลลงคอ มีอาการหอบหืดเกิดเป็นโรคหืดที่คุมอาการไม่ได้ อาจถึงมีระบบหายใจล้มเหลวได้ ดังนั้นผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงสารที่ตนแพ้ ใช้ยาต่อเนื่อง และหากไม่ดีขึ้นอาจพิจารณาวิธีรักษาด้วยการปรับภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) ต่อไป