นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวทางการวางแผนภาษีสำหรับพนักงานที่มีรายได้ประจำ หรือ "มนุษย์เงินเดือน" ในปีนี้ นอกจากจะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่านการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และซื้อสินค้าผ่านโครงการ "ช้อปดีมีคืน" แล้ว ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่านการซื้อประกันสุขภาพให้กับตัวเองและพ่อแม่ เพื่อรับประโยชน์สองต่อ
ประโยชน์ต่อแรก "รับสิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันสุขภาพของตัวเอง ตามที่จ่ายจริงสูงสุดถึง 25,000 บาทต่อปี และสิทธิลดหย่อนภาษีจากค่าเบี้ยประกันสุขภาพของพ่อ แม่ ตามที่จ่ายจริงรวมกันไม่เกิน 15,000 บาทต่อปี" แบ่งเป็น โดยเบี้ยประกันสุขภาพของตัวเองนั้นเมื่อนำไปรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วจะต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี และเบี้ยประกันสุขภาพที่ซื้อให้พ่อ แม่ มีเงื่อนไขว่าพ่อแม่จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และประโยชน์ต่อที่สอง "ช่วยลดความเสี่ยงค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ" ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร และจะมีค่าใช้จ่ายเท่าใด กรณีมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจำนวนมาก ก็อาจกระทบต่อเงินเก็บและกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้
สำหรับการเลือกซื้อประกันสุขภาพของมนุษย์เงินเดือนให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ก่อนเลือกซื้อควรรวบรวมข้อมูลความคุ้มครองของประกันที่มีอยู่ เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับความคุ้มครองที่มีอยู่เดิม หรือมีความคุ้มครองมากจนเกินจำเป็น ซึ่งปกติพนักงานบริษัทจะมีสวัสดิการประกันกลุ่ม และประกันสังคมที่อาจคุ้มครองทั้งด้านสุขภาพ และอุบัติเหตุอยู่แล้ว แต่มีข้อควรระวัง คือ วงเงินความคุ้มครองอาจไม่มากพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล หากเจ็บป่วยโรคร้ายแรงยอดฮิต เช่น โรคมะเร็ง, หัวใจ หรือไตวาย รวมถึง ข้อจำกัดและความสะดวกสบายของการเลือกใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน
"เทคนิคง่ายๆ สำหรับคนที่มีสวัสดิการออฟฟิศอยู่แล้ว และมีงบประมาณจ่ายเบี้ยรายปีที่จำกัด แต่ยังต้องการความคุ้มครองสุขภาพสำหรับการรักษาโรคร้ายแรงต่างๆ ในวงเงินสูง และต้องการใช้ประโยชน์ความคุ้มครองจากสวัสดิการนายจ้างหรือบริษัทต้นสังกัดที่มีอยู่แล้ว อาจพิจารณาแบบประกันสุขภาพที่มี "ความรับผิดส่วนแรก" ซึ่งหมายถึงการรับภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลบางส่วนไว้ด้วยตัวเอง เพื่อเป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกันสุขภาพรายปี" นายณัฐกฤติกล่าว
ส่วนข้อควรพิจารณาในรายละเอียดของกรมธรรม์ก่อนการเลือกซื้อนั้น มีอยู่ 7 ข้อ คือ
- วงเงินความคุ้มครอง ควรมีความคุ้มครองขั้นต่ำราว 3 - 5 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลทั้งโรคทั่วไปและโรคร้ายแรง และสามารถรักษาในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำได้
- รูปแบบความคุ้มครอง แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบเหมาจ่ายต่อปี เหมาะกับผู้ที่ต้องการทำประกันสุขภาพเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยเรื้อรังจากโรคเดียวกันที่มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องใช้ระยะเวลารักษานาน แบบเหมาจ่ายต่อครั้ง รูปแบบนี้จะกำหนดวงเงินค่ารักษาพยาบาลต่อครั้งในการเข้ารับการรักษา แต่ไม่จำกัดวงเงินต่อปี เหมาะกับผู้ที่ต้องการปิดความเสี่ยงค่ารักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยบ่อยครั้ง หรือหลายโรคที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันภายในปีกรมธรรม์เดียวกัน
- ค่าห้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หากต้องการให้ครอบคลุมคุณภาพการรักษาพยาบาลระดับโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำก็ควรเลือกแผนประกันสุขภาพที่มีค่าห้องผู้ป่วยปกติต่อวันอย่างน้อย 8,000-10,000 บาทขึ้นไป และควรเผื่อในส่วนของการรักษาตัวในห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน (ICU) ด้วย
- ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) ผู้ที่ไม่มีสวัสดิการบริษัทจำเป็นต้องมีความคุ้มครองส่วนนี้
- ลักษณะสัญญาการต่ออายุความคุ้มครองแบบปีต่อปี ควรเลือกทำประกันที่การันตีการต่ออายุ เพื่อเป็นหลักประกันว่าการรักษาจะมีความต่อเนื่องและสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้จนกว่าจะหายเป็นปกติ 6. อายุสูงสุด ที่บริษัทจะต่ออายุกรมธรรม์ เพราะหลังเกษียณเป็นช่วงที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมากกว่าก่อนเกษียณ แนะนำว่าควรเลือกแบบประกันที่สามารถต่ออายุได้เทียบเท่ากับอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยหรือประมาณ 80 ปีเป็นอย่างน้อย และ 7. การเลือกบริษัทประกัน ควรเลือกบริษัทที่มีประวัติการดำเนินกิจการที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ มีระบบการเคลมสินไหมที่ไม่ยุ่งยากจนเกินไป